วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จับเสกสรร ประเสริฐ ผอ.เบาะแส ทุกประเด็นของความไม่ชอบมาพากลทุกความเคลื่อนไหวในสายตาของสื่ออาชีพและผู้เป็นสุจริตชน

จับเสกสรร ประเสริฐ ผอ.เบาะแส

ทุกประเด็นของความไม่ชอบมาพากลทุกความเคลื่อนไหวในสายตาของสื่ออาชีพและผู้เป็นสุจริตชน

จากความพยายามที่เราได้เห็นข่าวที่ดูแล้วทะแม่งๆ และแปลกใจว่าเหตุใด หนังสื่อทั้งฉบับได้พยายามเขียนข่าวที่วกวน และลงข่าวเฉพาะมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกอย่างเดียว แถมด้วยการโปรโมทตัว ผ.อ. ซะเต็มๆ ซึ่งโดยปกติของหนังสือพิมพ์โดยทั่วไปเขาจะเขียนข่าวหรือนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เป็นการดูถูก “ภูมิปัญญา” ของผู้อ่านเมื่อเราสำรวจหนังสือทั้งฉบับและตรวจสอบย้อนหลังของหนังสือหลายฉบับก็ไม่มีเนื้อหาสาระมากมาย แต่ยังคงเป็นเรื่องการอวดอ้างผลงานเดิมๆ ซึ่งดูแล้วผลงานจริงกับเท็จปนกันแทบจะแยกแยะไม่ออกว่า อะไรจริงอะไรเท็จ แต่เราก็สรุปความน่าจะเป็นได้ว่า “หนังสือเบาะแส” ต้องเป็นหนังสือเฉพาะกิจอย่างแน่นอนเลย เพราะเราพบว่าหนังสือสองฉบับมีการจงใจปรับปรุงหน้าปกเล็กน้อย และเพิ่มชื่อนายทหารนายตำรวจเข้ามาเป็นองค์ประกอบเพื่อเป็นเกราะให้แข็งแกร่งเพิ่มเติม เราก็จะทำจดหมายถามท่านเหล่านั้นเป็นหนังสือเพื่อขอคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ท่านเหล่านั้นกล้ายืนยันหรือไม่ในพฤติกรรมของการใช้สื่อ เพื่อเรื่องเฉพาะกิจและสื่อไปในทางไม่สุจริต ที่เกี่ยวกับการหักหลังล้างแค้นกันในเรื่องของผลประโยชน์ ซึ่งฝ่ายที่เสียประโยชน์และอ้างเป็นสื่ออย่างไม่ลดราวาศอก เราเป็นอาชีพสื่อเราพิจารณาดูแล้ว หนังสือเบาะแสเป็นหนังสือเฉพาะกิจจริงๆ และตัว นายเสกสรร ประเสริฐ ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของ”เบาะแส” เราก็ได้ทำการตรวจสอบเพื่อให้สังคมหายสงสัยว่าเขาเป็นใครกันแน่ จึงได้ข้อสรุปง่ายๆเป็นเบื้องต้นว่า เป็นคนสนใจความยุติธรรม อุดมการณ์เพ้อฝันดี มีจินตนาการที่สับสนกับตัวเอง อยากเป็นคนมีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใดเหมือนคนมีสี แต่เมื่อวิถีชีวิตและคุณสมบัติไม่เอื้อ ความรู้ความสามารถไม่ถึง จึงดิ้นรนหาทางสร้างแบรนด์ให้คนเข้าใจว่าเป็นสื่อ ประกอบกับความต้องการลบปมด้อยแห่งความอยากมีอำนาจแบบคนมีสี จึงใช้วิธีแบบเด็กเข้าหาผู้ใหญ่ พอรู้จักใครที่มีพาวเวอร์หน่อย ก็ถือวิสาสะเอ่ยขอเชิญเป็นที่ปรึกษาแล้วก็รีบนำชื่อท่านเหล่านั้นมาใช้เป็นองค์ประกอบตามความคิดที่ตนจะกระทำ ที่เห็นได้ชัดเจนคือความพยายามรีบสร้างความชอบธรรม และพยายามหาคำกล่าวให้ร้ายโดยสรุปเอาเองต่อมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ตามอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่มีปมแค้นเรื่องส่วนตัวอยู่ภายในต่อ นาย สวัสดิ์ บันเทิงสุข ผู้เป็นอธิการบดี ผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งเมื่อดูแล้วค่อนข้างจะแปลก เพราะว่าถ้าเราวิเคราะห์การกระทำดังกล่าว และการนำภาพของบุคคลต่างๆมาลง และเขียนข้อความพาดหัวจูงใจให้คนคล้อยตาม ในเชิงสรุปข้อกล่าวหาเอาเอง การกระทำดังกล่าวจึง ไม่น่าจะเกิดจากจรรยาบรรณของความเป็นสื่อโดยแท้ และแม้กระทั่งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่นายเสกสรร ประเสริฐ พยายามนำมาเชื่อมโยงถึง เมื่อตรวจสอบประวัติบุคคลเหล่านั้น ปรากฏว่ามีความชัดเจนว่าคนที่ถูกกล่าวถึงมีประวัติที่ประจักต่อสังคมอย่างไร อาจจะเทียบไม่ได้เลยกับประวัติและพฤติกรรมของนายเสกสรร ประเสริฐ

ครั้นเราไปตรวจสอบบทความต่างๆที่อยู่ใน Facebook ของทางมหาวิทยาลัยก็มีบทความมากมายที่เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว ก็ยิ่งทำให้เรามีความชัดเจนมาอีกว่า

......อ๋อ....เหตุการณ์ทั้งหมดที่หนังสือเบาะแสพยายามตีแผ่ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวของ นายเสกสรร ประเสริฐ  นั้นเป็นสิ่งที่มีมูลเหตุมาจาก “ความไม่สุจริตของนายเสกสรรเอง” ถึงแม้ว่านายเสกสรร ประเสริฐ จะใช้ความพยายามนำความเป็นสื่อ (ที่ไม่ค่อยจะเต็มปากเต็มคำ) มานำเสนอต่อสังคม ก็ตามแต่กลับกลายเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่ไม่สมควรของ นายเสกสรร ประเสริฐ เสียมากกว่า

จึงสรุปได้ว่า นายเสกสรร ประเสริฐ และหนังสือพิมพ์เบาะแส ทำหน้าที่โดย “ไม่สุจริต” ในการนำเสนอข่าวต่างๆ ต่อประชาชนจริงๆ เพราะเป็นการกระทำโดยเจตนาต้องการทำลายด้วยความโกรธและต้องการจะล้มมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกให้ได้

เราจึงตรวจสอบต่อไปในเชิงลึก เกี่ยวกับนายเสกสรร ประเสริฐ ปรากฏว่าเราต้องตกตะลึง แต่เราก็ไม่แปลกใจอะไร โดยเฉพาะในแวดวงสื่อมวลชน ไล่กันไปจนถึงระดับครูอาจารย์  ผู้บริหารรุ่นใหญ่แห่งวงการและองค์กรสื่อ พูดไปในโน๊ตเดียวกันโดยพอสรุปได้ว่าเป็น “เหลือบ” “แห่งวิชาชีพของเรา” เป็นอันว่าจบข้อสงสัย และเราจึงรู้ว่าเหตุใดจึงไม่มีสื่อใดเล่นด้วย เพราะจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแห่งความเป็นสื่อมืออาชีพนั่นอง
เราได้รับทราบข้อมูลว่ากลุ่มก๊วนของสื่อไม่สุจริต โดยการวางแผนของหัวโจกสื่อมิจฉาชีพ พยายามโทรศัพท์ไปสุ่มหาคนที่รับปริญญากับทางมหาลัยสันติภาพโลก เพื่อมาเป็นพวก เพื่อจะทำลายและล้มมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล และเราได้รับการยืนยันจากบุคคลเหล่านั้นแล้วว่า ยินดีเป็นพยานให้แก่ทางมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เอานั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

ตอนนี้เราก็มาถึงบางอ้อแล้วว่า เหตุใดนายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแสจึงถูกดำเนินคดีหลายคดีอยู่ในขณะนี้ และเราก็ทราบอีกว่า เมื่อบ้านเมืองปกครองโดยใช้กฎหมาย ดังนั้นผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ โดยนายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแสที่ได้ลงข่าวให้ร้ายมหาวิทยาลัยฯ และใส่ความต่อบุคคลต่างๆ ซึ่งลักษณะการนำเสนอนั้นเรารู้ได้เลยว่า นายเสกสรร ประเสริฐ ไม่รู้กฎหมาย และหรือกุนซือทางกฎหมายของนายเสกสรร ประเสริฐ อาจจะประมาทหรือละเลยดังนั้นดูท่าว่าคงต้องอับอาย ในฐานะที่เป็นผู้รู้กฎหมาย!!! แต่ทำไมปล่อยให้มีการออกข่าว ที่เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และด้วยเจตนาอย่างชัดแจ้ง ซึ่งแม้นว่าจะเก่งกฎหมายอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุดแน่ การเตรียมการฟ้องคดีต่อ นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแส ล๊อตที่สองจะเร็ว และแรงและกว้างขวางทั่วทุกภูมิภาค แต่นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแส คงจะไม่ลำบากในการขึ้นโรงพัก ขึ้นศาล ที่ไหนไปไม่ทันก็เจอแค่หมายจับ คิดว่า “พญาจิ้งจอก”คงจะไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว ว่าแต่ว่าที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ

บรรดาผู้สื่อข่าว ส่วนภูมิภาคผู้อยากเป็นนักข่าวภายใต้ “เกราะ”เบาะแส ที่อยากเบ่ง อยากมีพาวเวอร์ คงต้องคิดให้หนักว่ามันคุ้มกันหรือไม่ กับความอยากเป็นสื่อโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ

“กฎหมายไทย” ที่ใช้สำหรับป้องกันสิทธิบุคคล มีความศักดิ์สิทธิ์พอ ที่จะทำให้ นักข่าวติดคุกมาแล้วนักต่อนัก

แล้วใครจะดูแลครอบครัวของท่าน ใครจะรับผิดชอบ ถ้าท่านอยากทำงานเพื่อสังคมจริงๆ เดี๋ยวนี้มีองค์กรอิสระมากมายที่จะได้ตอบสนองต่อความอยากของท่าน

วันนี้นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแสบางคนกำลังเข้าสู่วาระ ของการพิสูจน์ตนเองต่อสาธารณะ และต่อศาล และแน่นอนว่า คนนับร้อย ระดับผู้มีปัญญาคงไม่มีใครยอมให้นายเสกสรร ดูถูกดูแคลนเขาเป็นแน่

ถ้าท่านผู้อ่านเป็นหนึ่งในคณะเบาะแส ถ้าท่านคิดว่ามันคุ้มค่ากับอุดมการณ์ที่ท่านเอง และหัวหน้าคณะไม่รู้ผิดรู้ชอบว่ามันคืออะไร แล้วละก็

ท่านก็จะกลายเป็นอีกหนึ่ง “เหยื่อ”ที่เป็น”ลาโง่”ให้เขาใช้งาน “เป็นสะพาน”ให้เข้าข้ามไป แล้วใครจะดูแลคุณและครอบครัว เรื่องนี้ขึ้นโรงขึ้นศาลกันโดยไม่เป็นอันทำมาหากินกันแน่ๆ...ถ้าไม่เชื่อก็โปรดติดตาม...

“ป้ายผู้สื่อข่าว” ที่ไม่สง่างาม มันไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือมีพาวเวอร์อะไรมากไปกว่า ความเป็นคนดีผู้มีจิตบริสุทธิ์ดอกนะจะบอกให้แล้วหนังสือก็โนเนม ผ.อ.ก็โนเนมแล้วจะใหญ่อะไรกันนักกันหนา

“คนมีวุฒิภาวะ มีประสบการณ์ มีความรู้ มีเครดิตทางสังคม นับร้อยชีวิตที่เป็นบัณฑิตกิตติมศักดิ์ของทางมหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายอยู่จำนวนมาก เช่นเดียวกัน แล้วนายเสกสรร ประเสริฐ จะฉลาดอยู่คนเดียวได้อย่างไร!?” แล้วคนอื่นเขากลายเป็นคนโง่ทั้งหมดหรือจะถูกหลอกทั้งหมดได้อย่างไร !?

สรุป นายเสกสรร ประเสริฐ  “โง่เอง....รึปล่าว....แล้วอวดฉลาด”จึงขอรวบรวมข้อเสนอที่บรรดาสื่ออาชีพเขาให้ โดยที่นายเสกสรร ประเสริฐ สามารถเลือกใช้ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

1.           โก๋   โนเนม
2.           แส่   อินโนเซ้นท์
3.           เสือกสันต์  บรรลัยเลย


                                                            “ พิราบขาว ”
จับเสกสรร ประเสริฐ ทุกประเด็น ทุกความเคลื่อนไหว และทุกช่องทางทำมาหาเลี้ยงชีพ
            

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิถีทางสู่ความอับปางของ เสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแส

วิถีทางสู่ความอับปางของ เสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแส

            วิถีทางแห่งเบาะแส โดย เสกสรร ประเสริฐ ที่บังอาจหาญกล้าสถาปนาตัวเอง โดยหาทางละเลงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกและคณะผู้บริหารไปในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ตนเองมิได้มีส่วนริเริ่มบุกเบิกแนวคิดและทิศทางของการพัฒนามหาวิทยาลัย นายเสกสรร ประเสริฐ ได้เข้ามาแสวงหาประโยชน์เมื่อไม่ได้สิ่งที่หวังสมดังใจ จึงได้สำแดงธาตุแท้และสันดานให้เห็นอย่างเด่นชัด ด้วยการโจมตีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกและคณะผู้บริหารทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่มีผลที่จะทำให้เป้าหมายการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสันติภาพของมหาวิทยาลัยสะดุดหยุดลงแต่ประการใด

            นายเสกสรร ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส กลับได้ใจคิดว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงแค่หนังสือพิมพ์ ที่ตนเองพยายามให้ราคาราวกับว่า...เป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อคนดี ๆ ในสังคมไทย แต่โดยข้อเท็จจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เสกสรร ประเสริฐ กำลังเหิมเกริมและย่ามใจ....พยายามเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น โดยคิดว่า “เอกสาร” เบาะแส น่าจะมีอิทธิพลพอและได้บังอาจละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ๆ มากมาย โดยเฉพาะผู้รับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ด้วยความไร้จรรยาบรรณและไร้เดียวสา ไร้มารยาททางสังคม ไร้วัฒนธรรมของคนที่มีจิตใจสูงทำให้ นายเสกสรร มีแรงจูงใจออกเอกสาร “เบาะแส” เพื่อทำลาย มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เป็นกรณีพิเศษ

            ดังนั้นนอกเหนือจากที่ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะได้ดำเนินคดีกับ นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแสแล้วตอนนี้มีผู้ที่ถูกละเมิดให้เสียชื่อเสียงด้วยฝีมือของ นายเสกสรร ประเสริฐ ดูตัวอย่างคำฟ้องที่ถูกศาลรับฟ้องคดี ณ ศาลจังหวัดนครพนม และตัวอย่างคำฟ้องที่ศาลจังหวัดธนบุรี และตัวอย่างคำฟ้องที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดีที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายจังหวัดทางภาคใต้ ภาคเหนือและภาคอีสาน รวมทั้งศาลอาญา กรุงเทพมหานคร

            ขอให้ผู้ที่ถูกดูหมิ่นในเกียรติและศักดิ์ศรีของการเป็นดุษฎีบัณฑิตของ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเตรียมรับตัวอย่างคำฟ้องที่ศาลได้โปรดวินิจฉัยไว้แล้วว่าคดีมีมูลความผิดทางอาญา เพื่อจะได้มีความสะดวกในการดำเนินคดีต่อ นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะเบาะแส ให้กว้างขวางคลอบคลุมทุกพื้นที่อย่างรวดเร็วที่สุด ณ วันนี้ นายเสกสรร ประเสริฐ คงจะรู้แล้วว่าอาชีพที่สุจริตกับไม่สุจริตเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ต้องจดจำไปจนตายและพฤติกรรมของคนที่คิดว่ามีหนังสือ “เบาะแส” แล้วจะสำคัญตนเองผิด ใช้พฤติกรรมดุจผู้มีอิทธิพลทำลายคน...ตามความคิดและความโกรธที่ไม่ได้ผลประโยชน์ดั่งใจ นายเสกสรร ประเสริฐ ไม่สามารถปิดบังสิ่งที่อำพรางไว้ในอดีตว่าทำมาหากินโดยใช้ “หนังสือเบาะแส” บังหน้าอย่างแน่นอน

                                                                        เหล็กไหล  พญานาค

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สันดาน แสบสัณฑ์ ประสาทเสื่อมและคณะ “เบาะเสีย”

สันดาน แสบสัณฑ์  ประสาทเสื่อมและคณะ “เบาะเสีย”

            แม้นรู้อยู่แกใจว่า...การให้ร้ายมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกอย่างต่อเนื่อง...ไม่ Work และความพยายามอวดอ้างสรรพคุณของสุภาพบุรุษ “ลูกผู้ชายหน้าด้าน” ที่ยังกล้าอ้างผลงาน...ปราบ...แม่ชีชราผู้ไม่มีทางสู้และเสียชีวิตไปแล้ว ยังไม่มีสามัญสำนึกแห่งความละอาย...ต่อบาป...หลอกกินข้าวก่อนรึ...ป่าว...แล้วรีดไถไปตามขั้นตอนแบบ 15 ล้าน แต่ได้แค่ 5 ล้าน สำราญปากจึงหรือไม่...

            ตอนนี้กำลังจะมีปีศาสตร์ “เบาะแส” เที่ยวอาละวาดและอำผู้รับปริญญาของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก...โดยไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนเพื่อหาแนวร่วม...ไปเป็นพยานที่ศาล

            ตอนนี้...ที่เป็นคดีอยู่แล้วแค่เบาะ ๆ เร็ว ๆ นี้จะมีของดีตามมาอีก...แค่ขึ้นโรงพักกับขึ้นศาล “แสบสัณฑ์” ประสาทเสื่อม ก็รู้แล้วว่า “นรกบนดินเป็นอย่างไร” แต่ทำดีเพื่อกลบเกลื่อนความชั่วนั้น....มันก็ต้องเห็นของจริง

            งานนี้...กำลังมีคนกล้า ตีแมวให้....หนูดู แล้วหนูจะรู้ว่า...หนูหนวดแมว...มันเป็นของปลอม

โปรดติดตาม...แผนพิฆาต...มือปราบย้อมแมวว่า..หนูหนวดแมวจะขึ้นศาลรึปล่าว...อิอิ


             -เหล็กไหล พญานาค- 

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทเรียนแห่งชีวิตของลูกผู้ชายที่

บทเรียนแห่งชีวิตของลูกผู้ชายที่

ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีขาดคุณสมบัติของความเป็นผู้ดีไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ทรยศต่อความเป็นมนุษย์ของตนเอง...ละเลงความชั่ว....บนหัวของผู้บริสุทธิ์ ชอบหากินด้วยการ...สร้างประเด็นให้เป็น..เงื่อนไข...เพื่อรีดไถ...กรรโชก โขกสับคน...ที่ตนคิดว่า... “ข้าเหนือกว่า...แต่ไม่จริง”

ณ บัดนี้...ขอความกรุณาให้ “คนดี ???? ที่ชื่อ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ช่วยอธิบายให้สังคมทราบด่วนว่า

เหตุใด...โดนหมายเรียกเยอะเหลือเกินทั้งที่มาแล้วและกำลังจะมา
เหตุใด...อาจจะโดนหมายจับจริงถ้าไม่ไปตามหมายเรียก...เหตุผลเพราะ... “ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย” แต่การให้ร้ายผู้อื่นไม่ใช่ความจริง แต่เพียงเพื่อหาประโยชน์อาจจะไม่ถึงตาย...แต่ทรมานเหลือเกิน

แค่...ขึ้นโรงพักและไปศาล... คุณเสกสรรค์ ประเสริฐ คงจะมีประสบการณ์ด้านกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาให้ประชาชนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้ไม่น้อยเลย

เตรียมถ่ายรูปเดี่ยวและรูปหมู่ของคณะ “เบาะแส” ขอขมาลาโทษพี่น้องประชาชนและชาว “ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์)” และคณาจารย์ผู้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกได้เลย

ด้วยความปรารถนาดี ที่จะเห็นสังคมไทยไม่ฝันร้ายกับข่าวลวงของ “สื่อเทียม” ที่อิงแอบและบิดเบือนความจริง เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันหวังว่า...ใครหลาย ๆ คนคงคิดได้ถ้า....เขาต้องการเป็นคนดีจริง 

                                                                                                    เพชร ปัญญาจารย์

หมายเหตุ  ผู้ใดประสงค์จะดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทต่อบุคคลดังกล่าวตามแบบของ คดีที่ถูกฟ้อง ณ ศาลจังหวัดนครพนม โปรดติดต่อขอต้นแบบได้ที่ เพชร ปัญญาจารย์ งานนี้รับรองว่าช่วยให้สังคมสงบสุขได้เยอะเลยเชียวละ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส คนดี ที่ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันและผู้บริหารของ ม.เกริกต้องร่วมกันตรวจสอบ ด่วนที่สุด


เสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส คนดี ที่ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันและผู้บริหารของ ม.เกริกต้องร่วมกันตรวจสอบ ด่วนที่สุด
คนที่ดี มีคุณภาพทางการศึกษา........ใครเขาจะทำกันแบบนี้..........

มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่ได้ดำเนินการให้มีกิจกรรมอันสำคัญที่มีการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) แก่บุคคลสำคัญและบุคคลที่มีผลงานแห่งคุณงามความดีและเป็นประโยชน์ต่อสังคม

            ถ้าจะสังเกตจากเหตุการณ์นับแต่ที่ได้มีการสถาปนามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ณ โรงแรมแชงกรีลา จ.เชียงใหม่ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ก็ได้รับการชักชวนจากเพื่อนให้เข้ามาร่วมกิจกรรม ก็ไม่มีสิ่งใดจะบ่งบอกให้เห็นว่า นายเสกสรรค์ ประเสริฐ จะไม่ยินดีด้วยกลับแสดงออกอย่างชัดเจนในการร่วมสร้างสันติภาพตามแนวทาง อธิการบดีผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างอธิการบดีผู้ก่อตั้ง...ต่างคนต่างหลงซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็มีความหวังซึ่งกันและกัน และต่างคนก็ต่างสัญญาและร่วมมือซึ่งกันและกัน วันที่ท่านอธิการบดีผู้ก่อตั้งประกาศจะลาออกจากอธิการบดี ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 25556 ณ สนามกอล์ฟ กัซซัน ขุนตาล จ.ลำพูน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนถึงวันดังกล่าวไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ สัญญาเมื่อใกล้สายัญตะวันดับของชายชราผู้เป็นอธิการบดีผู้ก่อตั้งอาจจะทำให้ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ มีความหวังลึก ๆ ที่จะได้เป็นอธิการบดี และนายเสกสรรค์ ประเสริฐ ก็ได้รับปริญญาบัตร ณ ที่แห่งหนึ่งโดยท่านอธิการบดีผู้ก่อตั้งเป็นผู้มอบให้...ทุกอย่างผ่านไปด้วยความภาคภูมิใจของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ แต่พอถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่ง นายเสกสรรค์ ประเสริฐได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในงานที่ถูกกล่าวถึงและเชื้อเชิญโดย ท่านอธิการบดีผู้ก่อตั้ง ทำให้ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ มีความสุข มีความหวังดั่งราวกับเป็นใครบางคนในงานแต่ มหาวิทยาลัยฯ มิได้มี อธิการบดีผู้ก่อตั้งแต่เพียงผู้เดียวดังนั้นในนามมหาวิทยาลัยฯ คนคนเดียวจะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ต้องเป็นมติของสภาฯ อย่างน้อย 2 ใน 3 คน

            ความอลหม่านทางความคิดและความผิดหวัง ความอาย ความโกรธ ของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ เริ่มเกิดขึ้น ณ สนามกอล์ฟ กัซซัน ขุนตาล จ.ลำพูน เมื่อมติของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ประกาศออกมาโดยไม่มี นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย...อธิการบดีผู้ก่อตั้งก็พูดอะไรไม่ออก...ที่จริง นายเสกสรรค์ ประเสริฐ น่าจะอดทนทิ้งช่วงซักสัปดาห์แล้วค่อยถล่มมหาวิทยาลัย...อะไร อะไรมันก็จะดูเนียนกว่า...แต่หนุ่มใหญ่หนวดหนุงหนิง...นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ทนไม่ไหวในความผิดหวัง...จึงถล่มมหาวิทยาลัยทางสื่ออินเตอร์เน็ตนับแต่คืนนั้นจนถึงบัดนี้...การที่พยายามจะบอกว่าแอบเข้าถ้ำเสือไปล้วงความลับ จับลูกเสือ จึงเป็นการคุย...แก้เก้อเท่านั้นเองหรือเล่นเพลงมวยผิดโน๊ตเท่านั้นเอง

            จริง ๆ แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยนั้น ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม...ธรรมดาซะเมื่อไหร่...ดังนั้นจึงตามทันพฤติกรรม วิเคราะห์ความคิดและความแค้นของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ได้ทั้งหมด การโจมตีให้ร้ายหมายจะทำลายมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มิใช่มีการเตรียมการกันมาก่อน เป็นเพียงอารมณ์โกรธมันเดือดดารขึ้นมา ทำให้การทำลายเป็นไปอย่างไร้กระบวนท่า...เหมือนอารมณ์ของเด็กที่เอาแต่ใจ แต่พอไม่ได้ดั่งใจ...ก็ฉี่รดอ่างล้างจาน...ทุบกระจกในห้องนอน...เปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำทิ้งไว้เท่านั้นเอง (เป็นการเปรียบเทียบ) ให้เห็นอาการที่ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายสักเท่าใดนั่นคือ ทำได้แค่นำรูปคนดี ๆ นำภาพพิธีที่ดี ๆ ของใครต่อใครไปโพสต์ลงในสื่ออินเตอร์เน็ตซึ่ง...คนดี ๆ มีสติสัมปชัญญะ มีวุฒิภาวะ มีการศึกษาที่ได้มาตรฐานเขาจะไม่ทำกัน แล้วมันเป็นไปได้อย่างไรที่มีคนคนเดียวพยายามโจมตีให้ร้ายมหาวิทยาลัย...ทำทุกรูปแบบและพาลไปทำลายคนดี ๆ ด้วยพฤติกรรมของคนด้อยพัฒนามองอะไรไม่ไกล...คิดไกลไม่เป็น คิดสั้น ๆ ใช้แต่อารมณ์ชั่ววูบสั้น ๆ

            นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส ยังคงนอนไม่หลับและยังไม่หายแค้น...และตอนนี้คงรู้แล้วว่า...ใครก็ตามที่คิดชั่วทำลายสถาบันการศึกษาแห่งอุดมคติใหม่ ๆ ที่เขาคิดไม่ถึงตามไม่ทัน...เขาก็จะลำบากเพราะขาดแนวร่วมแต่ผลงานที่ไปละเมิดสิทธิแอบลักขโมยภาพของคนดี ๆ ในเว็บไซต์ ไปใช้ในทางที่ชั่ว...พยายามสร้างเหตุการณ์ให้ได้เอกสารทางราชการที่ไม่ตรงประเด็นที่จะนำมาโจมตีซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนาของผู้ออกเอกสารจากหน่วยงานราชการแต่ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส ก็นำไปลงเว็บ ส่งไปแบบมั่ว ๆ เพื่อให้คนที่เขาไม่รู้เรื่องเข้าใจไปตามที่ตัวเองหวัง แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้นทำให้คนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับใคร...เป็นงง....จริง ๆ

จึงมีคนตั้งคำถามมามากว่า...ไอ้คนทำมันเป็นใคร...มันทำเพื่ออะไร...มันทำทำไม
1.           คำตอบคือ...มันคือ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ และพวกซึ่งในปัจจุบัน...นายเสกสรรค์ ประเสริฐ กลายเป็นจำเลยในคดีที่ศาลได้ประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว...มิใช่โจทย์คนเดียว.
..มิใช่คดีในท้องที่เดียว
2.           คำตอบคือ...มันทำเพื่อต้องการทำลายสถาบันของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกและทุกคนที่เกี่ยวข้อง...ที่ทำให้มันผิดหวัง...มันหน้าแตก
3.           คำตอบคือ...มันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำทำไม...แต่เพราะมันโกรธมากและเพราะมันอยากดังมันจึงทำและตอนนี้มันก็ไม่มีทางออกอย่างอื่นนอกจากไปรายงานตัวตามหมายเรียกของตำรวจและไปตามหมายนัดของศาลแค่นี้ก็วุ่นวายทำลายสมาธิของนายเสกสรรค์เอาการอยู่

การขาดวุฒิภาวะ ขาดความอดทน ขาดเหตุผลประกอบกับความเป็นคนที่...ไม่ชัดเจน...ในสังคมรอบข้างและสังคมสื่อที่ยังคงดื้อดึง...ขึงขัง...ไม่ระวัง...ไม่มีมารยาท...ขาดจริยธรรมและไม่เข้าใจในจรรยาบรรณของสื่อ ดังนั้น...นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส ผู้หลงผิดคิดว่า...มีผู้นิยมชมชอบในสิ่งที่ตนเองพยายามโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนคิดว่า...มหาวิทยาลัยผิด...ผู้บริหารฉ้อโกง..มหาวิทยาลัยขายปริญญา ฯลฯ ข้อมูลเลอะเทอะ...ข้อหาเละเทะ...ที่รกสื่อทางคอมพิวเตอร์อยู่ทุกวันนี้....ความจริงที่อิงความเท็จ...จึงไม่สามารถปฏิบัติการแห่งความชั่ว...ได้สำเร็จ ถึงแม้จะได้กระทำไปหลายกรรม หลายวาระแล้วก็ตาม

“ความชั่ว” คือการบิดเบือนข้อเท็จจริง...ให้ร้ายผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล...ทำลายเจตนารมณ์ของการส่งเสริมยกย่องให้เกียรติบุคคล....และบังอาจ...เสือก...ทำเป็นหวังดี...แต่แสบ..เพราะปกปิดซ่อนเร้น...ความเป็นจริง...คิดว่าเป็นสื่อ...หนังสือดัง...คิดว่าจะมีคนสนับสนุนมาก..แต่ผิดพลาดอย่างมหันต์ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส  กำลังเดินเข้าสู่มุมอับและทางตัน

ความพยายามสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้น...ต่อตนเองของ นายเสกสรรค์ คือพยายามอวดทุกอย่างที่มี...คุยทุกอย่างแบบนักเลงโต (ทางสื่อ) คือ...การถ่ายภาพโชว์ชุดครุยจากสถาบันของตน...แล้วต้องการถล่มมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเพื่อหาแนวร่วม นายเสกสรรค์ ประเสริฐ คงจะต้องการสื่อให้สังคมทราบว่าการที่สามารถเข้าเรียนที่ ม.เกริกได้...คงจะสอบเข้าลำบากกว่าจุฬา...ธรรมศาสตร์...มหิดล...ฮาวาร์ดหรืออ๊อกฟอร์ดหรือเยล อย่างแน่นอน...ว่าแต่ว่า...พฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ เป็นอยู่ หากินอยู่อย่างไร...มหาวิทยาลัย..เกริก...คงจะไม่รู้ความจริงของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส... อย่างแน่นอน ถ้าเขารู้บางทีว่าที่ดุษฎีบัณฑิตของ ม.เกริก.......ที่พยายามทำลายเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจในปริญญาดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก นั้น ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกริก ควรจะนำเรื่องนี้เข้าสู้กระบวนการตรวจสอบ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส...โดยด่วนที่สุดก่อนที่จะทำให้สังคมเข้าใจผิดกันไปใหญ่มีที่ไหนที่คนคิดชั่ว คนมีคุณภาพทางการศึกษาพยายามสวมเสื้อครุยของสถาบันที่ตัวเองได้อาศัยเรียนแล้วไปอวด อวดข่มโจมตีผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตของการเชิดชูให้เกียรติบุคคลด้วยคุณค่าทางการศึกษาจากปริญญาชีวิตที่จริงแล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างรับผลของการกระทำของตนเองก็หมดเรื่องแต่คุณเสกสรรค์ ประเสริฐ กำลังหลงทาง ขอให้ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบันของ ม.เกริก ตรวจสอบพฤติกรรมของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ ด่วนที่สุดก่อนที่เรื่องจะบานปลายเพราะคนไร้เดียงสาเพียงคนเดียว..........................คนที่ดีจริง ๆ ใครเขาทำกันแบบนี้

เพชร ปัญญาจารย์
                              

บทความเกี่ยวกับเรื่อง "สันติภาพ" จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 12 มิ.ย. 2556





วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประกาศ ด่วนที่สุด

ประกาศ

เรื่อง    การสอบพฤติกรรมของนายเสกสรร ประเสริฐ  ผอ.เบาะแส
เรียน   ผู้เกี่ยวข้อง

เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ได้พยายามสร้างความนิยมให้สังคมหลงเชื่อว่าตนเป็นคนหนังสือพิมพ์ ผู้มีความรู้ทางกฎหมาย เป็นผู้รักความยุติธรรม ปกป้องคนดี ฯลฯ สิ่งต่างๆ ดังกล่าวมานี้หากไม่มีผู้ใดระมัดระวังก็จะกลายเป็นว่า สิ่งที่นายเสกสรร ประเสริฐ ผอ.เบาะแสกล่าวหาใคร โดยบังอาจกล่าวหาให้ร้ายบุคคลใดๆหรือองค์กรใดๆ โดยการละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วยการนำเรื่องราวที่ตนเองกล่าวลงไปในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทาง Social Network ซึ่งตามธรรมเนียมปกติจะไม่มีสื่อใดๆ เขากระทำเช่นนั้น เพราะสำนึกด้วยจรรยาบรรณและจริยธรรมขอคนทำสื่อ ประกอบกับกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของบุคคล โดยเสมอเหมือนกัน การกระทำที่นายเสกสรร ประเสริฐ กำลังกระทำอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จึงเป็นความพยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายองค์กรและบุคคล อันเนื่องมาจากแรงจูงใจที่ไม่สุจริต

ดังนั้นจึงขอแจ้งให้ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทราบว่า พฤติกรรมในการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นนั้นหากเป็นวิญญูชนทั่วไปที่มีอาชีพสื่อนั้น จะไม่มีใครกล้ากระทำเช่นนั้น แต่นายเสกสรร ประเสริฐ ได้แสดงเจตนาของการกระทำโดยมิได้สำนึกต่อการละเมิดสิทธิของผู้อื่นแต่ประการใด นายเสกสรร ประเสริฐ จึงได้ถูกดำเนินคดี โดยมีผู้เสียหายหลายรายกำลังดำเนินคดีเพิ่มเติม ขอให้ประชาชนชาวไทยติดตามพฤติกรรมและตรวจสอบพฤติกรรมย้อนหลังของบุคคลดังกล่าวเพื่อจะไม่เผลอเข้าใจผิดต่อมหาวิทยาลัยและผู้ถูกกล่าวหา ที่พยายามสร้างภาพความน่าเชื่อถือที่ตบตาประชาชนอยู่ในขณะนี้  ความคืบหน้าจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป และบุคคลใดที่เคยถูกนายเสกสรร ประเสริฐ ผอ.เบาะแส ละเมิดสิทธิใด ๆ ขอให้รวบรวมพยานหลักฐานเท่าที่มี เพื่อจะได้ดำเนินคดีต่อบุคคลดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

                                                                                    เพชร   ปัญญาจารย์


            

แสบสันต์ ประสาทเสื่อม ผอ.เบาะเสีย ผิดหวัง.....ลำบาก.....อาละวาด


แสบสันต์  ประสาทเสื่อม  ผอ.เบาะเสีย

กรรโชกทรัพย์ 500,000 บาท จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกไม่สำเร็จ ขอตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่สำเร็จ ผิดหวัง.....ลำบาก.....อาละวาด

และแล้วก็ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาในหลายพื้นที่ เข็ดหรือไม่เข็ด แต่ต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน

            การให้ปริญญาแบบปกติจะต้องให้แก่ผู้เรียนตามระบบและมาตรฐานการศึกษาและผู้เรียนเรียนจบจริงจึงได้รับปริญญาบัตร มิใช่เป็นการให้ปริญญาทั่วไปโดยไม่ต้องเรียน ผู้กระทำเช่นนั้นจะอยู่ในสังคมได้อย่างไรกันและไม่สามารถกระทำได้

            แต่การมอบปริญญากิตติมศักดิ์ เป็นการมอบแก่ผู้ที่ไม่ต้องเรียน มอบแก่ผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตที่สร้างคุณความดีต่อสังคมและประเทศชาติ ปริญญากิตติมศักดิ์จึงไม่ต้องเรียน (ปริญญากิตติมศักดิ์ ตามคำนิยามพจนานุกรมไทยคือ ปริญญาที่ประสาทแก่ผู้ทรงวิทยาคุณ หรือผู้มีเกียรติตามที่เห็นสมควร) มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกกระทำเช่นนั้น

            แต่แสบสันต์ ประสาทเสื่อม กำลังจะบิดเบือนให้คนเข้าใจไขว้เขว นั่นคือสันดานของสื่อเถื่อนที่มีหน้าตาของ ผอ.ออ.และรูปแบบหนังสือ แบบไร้สกุลรุนชาติ นั่นคือที่มาว่าทำไมสื่ออาชีพเขาไม่เอาด้วย ขอให้ผู้อ่านตรวจสอบกลุ่มแก๊งสื่อปลอมเหล่านี้แล้วจะรู้ที่มาที่ไป คือโฆษณาชวนเชื่อทางกระดาษเปื้อนหมึกอย่างหนึ่ง แต่มีพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่ง ส่วนหนังสือนั้นไม่ได้ออกตรงเวลา แต่ออกตามอารมณ์  คลุ้มคลั่ง ของผอ. มี ผอ.ออ. ประสาทเสื่อมคนเดียวที่ยังหลงทางและหลอกตัวเอง

            พี่น้องชาวไทยโปรดใช้วิจารณญาณ ระวัง มารหัวขนของคนวงการสื่อ  “แสบสันต์” นั่นเอง อันตราย แสบสัณฑ์...ถูกดำเนินคดีท้องที่ไหนบ้าง เดี๋ยวคงจะได้อ่านรายละเอียดกัน.


                                                                                    เคียว  คมกระบี่

“แสบสัณฑ์ ปัญญาเสื่อม” ถูกไล่ออกจากห้องผู้การตำรวจ...ทางภาคใต้เพราะ...

“แสบสัณฑ์ ปัญญาเสื่อม” ถูกไล่ออกจากห้องผู้การตำรวจ...ทางภาคใต้เพราะคิดจะทำตัวเป็นอึ่งอ่าง...พองตัว...เท่ากับแม่วัวไม่ดูตาม้าตาเรือ

            “แสบสัณฑ์ ปัญญาเสื่อม” คิดหากินกับ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก แต่ไม่เป็นผล คนหากินไม่สุจริต...แล้วคิดจะพิชิตความยุติธรรมให้กับผู้อื่นจึงเป็นไปได้ยาก

            “นักกฎหมายปลอม” อ้างกฎหมายมั่ว...ตีความตามรูปแบบ...ทนายในวงเหล้า “แสบสันต์ ปัญญาเสื่อม” ขอเชิญผู้สนใจให้วิเคราะห์พฤติกรรมและการกระทำต่าง ๆพอสรุปได้ความก็คือ “มิจฉาชีพ” ที่...ทำหนังสือขึ้นมาไม่กี่ฉบับเอาไว้ ขู่ชาวบ้านเพื่อ ประกอบการตบทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ เป็นวิธีการของแก๊งมิจฉาชีพที่ด้อยพัฒนา

            “ผอ.ออ. แสบสัณฑ์” นั่นคือหนทางของความพยายามในการสร้างแบรนด์...แต่ เจอของแข็งที่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ทำไมแสบสัณฑ์จึงโกรธ จึงเคียดแค้น...ก็ไม่มีอะไรมาก...เพราะ...โจรพลาดท่าเจอตอนั่นเองตอนนี้เวลาจะ...กรรโชกทรัพย์เพิ่มเติมเกือบจะไม่มี เพราะต้องวิ่งแก้คดี...หมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา

คำพระว่า “กัมมุนา วัตตติโลโก” สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
หมายเหตุ ถ้าจะโม้ต้องนำเรื่องราวที่สื่อมืออาชีพเขาลงข่าวให้ แต่การเขียนเอง ลงข่าวเอง เชียร์กันเอง...ไม่ใช่ของแท้...เป็นแค่พวก ปัญญาเสื่อม...ครับทั่น ผ.อ. ข่าวแว่วมาว่าทั่น ผอ.ออ. ไปดึงรูปใครมาอีก...ก็โดนอีกครับเพราะมันสิทธิบุคคลอื่นใครจะโง่ใครจะฉลาดมันเป็นเรื่องของเขา...แต่เรื่องของทั่น ผอ.ออ. คือปล้นต้นทางเขาไม่ได้ ก็ตีรวนปลายทาง...แบบนี้เรียกว่า มิจฉาชีพ อันธพาล จากนี้ไปจะเจอของดีเพิ่มขึ้นอีก...แน่นอนครับ ทั่น ผอ.ออ.


                                                                                         เคียว  คมกระบี่

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิสัยทัศน์และมุมมองที่แตกต่างระหว่าง มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก กับ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ แห่งสำนักเบาะแส



วิสัยทัศน์และมุมมองที่แตกต่างระหว่าง
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก            กับ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ แห่งสำนักเบาะแส

เรื่องของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเป็นเรื่องมุมมองและวิสัยทัศน์ด้านการส่งเสริมคุณค่าของบุคคล ที่ไม่จำเป็นต้องให้สังคมหลงยกย่องและยอมรับว่า....ผู้ที่มีคุณค่าแห่งความเป็นคนและผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รู้นั้น....ไม่จำเป็นที่จะต้องมีตราหรือยี่ห้อของมหาวิทยาลัยในระบบ มาคอยเป็นกรอบครอบความคิดปิดหูปิดตาคนดั่งเช่นในอดีตเสมอไป
            เหตุใดนักปราชญ์, นักปรัชญา, นักพัฒนาสังคม, นักธุรกิจ, นักสร้างสรรค์ผลงานตามแขนงด้านต่างๆ เขาเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง เขาใช้เวลาแห่งชีวิตในการฝึกฝนพัฒนาตนเองเป็นเวลาที่ยาวนาน แม้กระทั่งบุคคลที่เป็นครูอาจารย์ที่ทำงานมานานนับหลายสิบปี ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนแต่ละแขนงย่อมไม่เหมือนกัน เราคงจะมองเห็นภาพของผู้นำทางศาสนา ผู้ทำงานเพื่อสังคม ผู้ทำธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ หรือผู้ประกอบอาชีพที่สุจริต และสร้างคุณประโยชน์แก่สังคมมากมาย คนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยมาเลย แต่กลับมีผลงานที่น่าทึ่ง ดังนั้น คำว่า “มหาวิทยาลัย” ในอดีตที่ผ่านมาเป็นที่เข้าใจว่าเป็นแหล่งฝึกฝน อบรมสั่งสอนคนเพื่อที่ให้ผู้ซึ่งเรียนหรือสอบผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้ใบปริญญาบัตร เป็นมาตราฐานในการออกไปทำงานในสังคมทั้งทางภาครัฐและเอกชน

            ในรูปแบบของมหาวิทยาลัยในระบบ เขาก็ดำเนินงานทำหน้าที่ของเขาไปและมหาวิทยาลัยในระบบ ก็ไม่เคยไปก้าวก่าย วิธีการเสริมสร้างคุณค่าหรือสถาปนาความรู้ของบุคคลที่อยู่นอกกรอบของมหาวิทยาลัย เพราะเมื่อมีศาสตร์ใดๆที่เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มคน ผลสุดท้ายมหาวิทยาลัยอาจจะนำศาสตร์เหล่านั้นไปพัฒนาเพิ่มเติมเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยและให้ปริญญาแก่เขาก็เป็นได้

            “มหาวิทยาลัยในระบบ” จึงมีครูบาอาจารย์ที่มีความคิดที่หลากหลาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ของนักวิชาการที่มีมุมมองที่แตกต่าง ดังนั้น ในกรณีของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงเกิดจาก มุมมองของครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในการสอนการเป็นการอยู่ นับหลายสิบปี อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 ปี บางท่านก็ 30 ปี

            แน่นอนว่า.....ผู้มีประสบการณ์ด้านวิชาการ มานาน และได้มองเห็นสัจธรรมในหลายประการของความเป็นครูอาจารย์และรู้อยู่ว่า สิ่งนั้นคืออะไร......ปัญหาคืออะไร ปัญหาบางอย่างก็แก้ได้ทันที ปัญหาบางอย่างก็ต้องใช้เวลา ดังนั้นในความกล้าหาญของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกคือ...การสถาปนาคุณค่าของคนที่เขามีประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า เขาสถาปนาวันเวลาของคนที่ดีมีความสามารถ เพื่อให้เขาเหล่านั้น มีความมั่นใจ เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง เพื่อให้มีความรู้แตกฉาน มากยิ่งขึ้นและสามารถสั่งสอน ถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่นๆ ต่างๆกันไป ดังนั้นผู้รู้ ผู้เป็น ที่ถูกระบบของมหาวิทยาลัยในระบบ..... ปกปิดเรื่องราว แห่งคุณค่า และความดี ของเขาเหล่านั้นไว้ ยากนักที่เรื่องราวของเขาเหล่านั้นจะถูกนำเสนอตามกระบวนการของมหาวิทยาลัยเพื่อจะให้ได้รับการพิจารณา”ปริญญากิตติมศักดิ์” เพราะถูกกีดกันด้วย ระบบเงินตรา....ระบบปิดหูปิดตา ระบบพวกพ้อง...ระบบผลประโยชน์ อีกสารพัดระบบ....จึงทำให้บทสรุปโดยส่วนใหญ่ของผู้ที่สมควรจะได้รับกำลังใจและการเสริมสร้างคุณค่าคือ “ปริมาณเงิน” ที่ก้อนใหญ่ ที่เศรษฐีเท่านั้นถึงจะสามารถจ่ายได้ เพราะ...หลายล้าน ถึงเกินกว่าสิบล้าน....เกือบยี่สิบล้านก็มี แล้วคนดีมีความสามารถ มีประสบการณ์ที่มีคุณค่า มีผลงานที่ดีและเป็นประโยชน์ แต่ขาดปัจจัย ไม่มีเงินถุงเงินถังดั่งเศรษฐี ใจถึงล่ะ เขาจะทำอย่างไร เขาไม่มีสิทธิเพราะไม่มีเงินจ่ายให้ได้ดั่งใจกรรมการ

ในปัจจุบันสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความก้าวหน้าในเรื่องคุณภาพของคน ได้มีการพัฒนาขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การค้นคว้าหาคำตอบในเนื้อหาสาระต่างๆ จึงสามารถค้นคว้าหาได้ทางสื่อสาระสนเทศน์ และโลกไซเบอร์ ( Cyber World )

การหาญกล้าดำเนินงานของมหาวิทยาแห่งอุดมคติ มหาวิทยาลัยในมิติที่ควรจะเป็นอีกแนวทางของคนคิดต่าง แต่มิได้มุ่งร้าย ทำลายใคร แต่กลับให้คุณค่าแก่คน ทั้งขวัญและกำลังใจ พร้อมด้วยความเห็นที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อให้สังคมได้มองภาพโดย รวมอย่างมีใจเปิดกว้างและเป็นเหตุ เป็นผลมากยิ่งขึ้น

การมอบปริญญาบัตรอันเป็นการยกย่อง เชิดชูเกียรติ ของบุคคลด้วย “ปริญญากิตติมศักดิ์” จึงเป็นสิทธิ์เสรีภาพของนักวิชาการที่เป็นนักวิชาการจริงๆ “ปริญญากิตติมศักดิ์”   เป็นปริญญาบัตรที่ไม่ต้องเรียน.........ถือว่าประสบการชีวิตที่ผ่านมาคือการเรียนโดยปฏิบัติจริง......แม้กระทั่งตำแหน่งทางวิชาการก็ต้องระบุว่า “กิตติมศักดิ์  (HONORARY) สิ่งนี้ไม่มีกฏหมายห้าม.....โดยเฉพาะเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของสังคม....และเป็นสิ่งที่สังคมยังเปิดช่องว่างให้กระทำได้และมิได้มีผลร้ายต่อสังคมแต่ประการใด เพราะมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ให้ปริญญา ปรัชญาดุษฏีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) สาขาสันติภาพโลก (WORLD PEACE) ด้านใดก็เป็นไปตามความถนัด มิได้ให้ปริญญากิตติมศักดิ์ที่ต้องอาศัยมาตราฐานแห่งความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น ด้านการแพทย์, เภสัช, วิศวกรรม, วิทยาศาสตร์ , คณิตศาสตร์, กฏหมาย, หรือแม้กระทั่งอักษรศาสตร์ หรือ ด้านสถาปัตยกรรม หรือ ศาสนศาสตร์........

เป็นสาขาสันติภาพ (WORLD PEACE) จึงมีความชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า.....เป็นเรื่องของสันติภาพสันติภาพที่เกิดจากการได้รับโอกาส การไม่ถูกกีดกัน การเข้าถึงคนดี คนมีความสามารถ คนที่ทำคุณประโยชน์ที่ไม่จำเป็นจะต้องยิ่งใหญ่ หรือโด่งดังเสมอไป

ดังนั้นพื้นฐานของการปลดล็อคทางความคิดของคนในสังคม ในด้านการรับรองคุณค่าของคน เกียรติภูมิของคนจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่บนกฏเกณฑ์ กติกา หรือมาตราฐานที่จะเหมารวมไปเสียทุกสิ่ง ซึ่งมีข้อเท็จจริง ปรากฏให้เห็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน

ผู้ที่มีความเข้าใจและยินดีและมีความสุขในการรับปริญญาบัตร “ดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์” ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จึง....มิใช่เป็นคนโง่....หรือถูกหลอก.....หรือไม่ฉลาด.....หรือเป็นคนจิตวิปริตแต่ประการใด แต่เป็นผู้ที่มีจิตใจที่สูงส่งพอ และมีดวงตาในความคิดที่มองเห็นและเข้าใจ.....จึงยินดี.....โดยมิได้สนใจว่าใครจะมองอย่างไร เพราะเขาเหล่านั้นรู้จักตัวตน และยอมรับ และมิได้สถาปนาตัวตน ด้วยตนเองว่า.......เขาเป็นตามที่เขาคิด แต่มีคน.....มองเห็น และชื่นชมยอมรับและเชื้อเชิญให้รับการสถาปนา.....และแน่นอนว่าการคัดเลือกบุคคลที่จะเชิญชวนนั้น อาจจะมีความหละหลวมไปบ้าง เนื่องจากระบบมาตราฐานการคัดกรองบุคคลมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางผู้บริหารของมหาวิทยาลัยจะต้องพัฒนาและปรับปรุงแก้ไข และถือว่าเป็นสิ่งปกติธรรมดาของการเริ่มต้นสิ่งใหม่.....การขาดความสมบูรณ์จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ย่อมต้องมีความก้าวหน้าขึ้น โดยลำดับเพื่อใปสู่จุดมุ่งหมายของการสร้างสันติภาพโดยแท้จริง

มุมมองและแนวคิดของนายเสกสรร ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส จึงเป็นมุมมอง ของคนคนเดียว ที่อาศัยพื้นฐานของการพยายามโปรโมทตนเองด้วยการพัฒนาการใช้ถ้อยคำสื่อสารลงในสื่ออินเตอร์เน็ต ให้ดูว่าตัวเองคือผู้กล้า....ผู้มีอำนาจและหน้าที่.....ตรวจสอบ...ลงพื้นที่จับ...ปราบ....สารพัดที่จะโม้คุยโว....แล้วก็ลงรูปอวดโฉม แอ๊คชั่นในท่าต่างๆ โดยอาศัย  ซีนของเหตุการณ์ที่เป็นอยู่แล้ว มาจัดภาพและบรรยายให้ดูสมจริง ดุดัน....และนายเสกสรร ประเสริฐ ก็พยายามดันทุรังไปเรื่อยๆ.......ที่ผ่านมาพาลหลอกให้คนบางกลุ่มที่มีความรู้ตื้นๆ และมีอารมณ์แห่งการปลุกเร้าเพียงง่ายๆ เกิดเผลอเชื่อว่าเป็นทนายความบ้าง....อาจจะเป็นผู้มีอิทธิพลบ้าง....อาจจะเป็นผู้มีอำนาจจากบางหน่วยงานของรัฐบ้าง...และก็มีเรื่องเก่าๆที่มีคนรู้จริงว่า...บางอย่าง...บางเรื่อง....ยังคลุมเคลือ....แต่ก็เอามาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหากินได้จวบจนปัจจุบันแต่ก็ไม่โตนับวันแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ

การหากินก็แบบง่ายๆ .....มีหนังสือที่พิมพ์ตามสภาพภูมิปัญญาเรียกว่า “เบาะแส”ซึ่งวงการสื่อไม่นับว่าเป็นสื่อ......ปริมาณนับจำนวนแค่ไม่กี่อึดใจ.....รูปร่างหน้าตาของหนังสือ...ก็อย่างว่า

แถม..พยายามหาสิ่งที่พอจะมี เช่น ใบประกาศณียบัตร, เข็มชูเกียรติ, โต๊ะทำงาน...ของขลัง.....และรูปถ่าย....แบบถลึงตา แล้วไว้หนวดเข้ม...เป็นภาพลักษณ์.....ประกอบกับพยายาม...ใช้บทความเป็นวิชาการ ไทยปนอังกฤษ และยกตัวอย่าง...เชิงวิชาการต่างประเทศ....แล้วบางตอนก็ทำเป็นภาษาต่างประเทศปนเข้ามาด้วย เพื่อให้ดูอินเตอร์ แล้วพยายามอ่านกฏหมายตามความรู้สึก มิใช่ตามคำนิยามของกฎหมายแล้วนำมาร่างเขียน...กล่าวหาว่า มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก .....เถื่อน.....ผู้บริหารฉ้อโกง.....หลอกลวงประชาชนสารพัด...แล้วกล่าวหาให้ร้ายโจมตีอย่างคนไม่ปกติ (ผิดหวัง) เคียดแค้น โจมตีมหาวิทยาลัยชนิดที่ดูแล้ว ไม่ค่อยเป็นอันกินอันนอนเท่าไหร่ และที่เห็นความพยายามเรียกร้องความเห็นใจ ความเป็นผู้เสียสละ ปกป้องสังคม จนเผลอสรุปอย่างเป็นตุเป็นตะว่า คนรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเป็นคนโง่บ้าง.....สารพัดข้อกล่าวหา....พฤติกรรมของนายเสกสรร ประเสริฐ ถือว่า ผิดมารยาทของมนุษย์อย่างรุนแรงคือแย่ยิ่งกว่ามารยาทสังคม นายเสกสรรค์ ประเสริฐ คิดว่าไม่มีใครทราบว่าพฤติกรรมการดำรงค์ชีพของตน คนในวงการสื่อ มืออาชีพที่แท้จริงนั้น เขาดู เขาติดตาม และเขารู้อะไรเกี่ยวกับ นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะหนังสือพิมพ์ “เบาะแส” นายเสกสรรค์ ได้ละเมิดสิทธ์ของผู้อื่นอย่างไร้สามัญสำนึกของผู้ดี ถ้าใครทำผิดกฏหมายที่ตนคิดว่าเขาผิดและตนเป็นผู้เสียหายก็ต้องดำเนินคดีเขาตามกฏหมายให้ได้ แต่นายเสกสรรค์ ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล.....แจ้งความก็แล้ว, ร้องเรียนก็แล้ว, สารพัดวิธีการ, ส่งเอกสารไปให้สื่อต่างๆ คิดว่าเขาเหล่านั้นจะเล่นด้วย.....แต่ไม่มีใครเอาด้วยเพราะโนเนม ไร้สาระไร้เดียงสา “เสกสรรค์ ประเสริฐ” จึงโพสต์ข้อความ + ภาพถ่ายส่วนบุคคล ที่ไปแอบดึงภาพของเขาเหล่านั้นจาก เฟสบุ๊คมาแสดงเพื่อสื่อสารเชิงประจาน.....ให้สังคมเข้าใจไปตามที่ตนคิด

วันนี้น่าเสียดายคนที่ดีๆอย่างนายเสกสรรค์ ประเสริฐ  ต้องถูกดำเนินคดี จากผู้เสียหายจำนวนมาก ในหลายท้องที่ และไม่มีการยอมความ นายเสกสรรค์ ประเสริฐ  พยายามหากฏหมายมาลงขู่หรือปลอบใจตัวเอง ตามมาตราที่ตนเองคิดเอง แต่ผิดอุทาหรณ์  เวลานี้ คุณเสกสรรค์ ประเสริฐ คงเข้าสู่ตอนชีวิตที่ทุกข์แบบไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อนเพราะเจอของจริงครับ    



                                                                                                เพชร  ปัญญาจารย์