วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556


ดุษฎีบัณฑิต กับคุณค่าแห่งชีวิตที่เปลี่ยนไป

โดยดุษฎีสีขาว

การมอบปริญญาบัตร ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU2) จะมุ่งเน้นถึงคุณค่าแห่งคุณงามความดีที่ได้สั่งสมไว้ หรือความภาคภูมิใจของสังคมโดยรวมที่ได้ให้เกียรติยอมรับเชิดชูในผลงานที่เด่นชัดและนำมาซึ่งประโยชน์และความสุขของสังคมโดยรวมและที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ บุคคลนั้นๆจะต้องมีสิ่งที่เป็นเรื่องราวที่สามารถมีหลักฐานที่อธิบายต่อสังคมได้ โดยตัวของผู้นั้นเองจะต้องยอมรับในความเป็นจริงของเรื่องราวของตน ที่สังคมให้คุณค่านั้นด้วย
ดังนั้นผู้ซึ่งเป็นดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU2)จึงต้องถามตนเองให้ชัดเจนเสียก่อนว่า เรื่องราวอันเป็นเกียรติประวัติของตนนั้น ผู้อื่นที่ได้รู้เห็นเป็นประจักษ์ว่ามีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาตินั้น ตัวเราเองยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ถ้าเรายอมรับว่าเป็นของจริงและสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับเกียรติในการที่ควรจะได้รับการเสนอชื่อให้สภามหาวิทยาลัยได้พิจารณาอนุมัติให้รับปริญญาบัตร(กิตติมศักดิ์)หากเรายอมรับว่าเราเป็นผู้ที่สมควร แสดงว่าเราได้รับเพราะเรามีคุณค่าเช่นนั้นจริงๆ มิใช่ได้รับเพราะมีคนเชียร์ มิใช่รับเพราะมีคนชม หากยอมรับเพราะมีคนเชียร์ มีคนชมแต่ตัวเรามิได้ยอมรับ เราก็เป็นผู้ที่ไม่สมควรที่จะรับปริญญาบัตร (ดุษฎีบัณฑิต) กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU2) เพราะหากวันใดมีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อมหาวิทยาลัย กล่าวให้ร้ายแก่มหาวิทยาลัยด้วยเพราะเหตุแห่งแรงจูงใจใดๆก็ตามเราจะได้มิต้องหวั่นไหว เพราะเรารู้ตัวของเราเองว่า ตัวเราเองเป็นของจริงและเรายอมรับว่าเราคือ ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ตัวจริง เมื่อเราเป็นตัวจริง เราจึงต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง การเป็นดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) เราจะไปเปรียบเทียบกับดุษฎีบัณฑิต โดยทั่วไปไม่ได้ โดยเด็ดขาด เพราะว่าดุษฎีบัณฑิตโดยทั่วไปคือผู้ที่ทำการศึกษาเพื่อจะเน้นดุษฎีบัณฑิต โดยตรงเป็นเรื่องของวิธีการและ มาตรฐานด้านการศึกษาที่จะต้องผ่านการศึกษาในระบบของมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป กล่าวคือ ดุษฎีบัณฑิตโดยทั่วไปต้องเรียนจริงๆ เพราะไม่มีประสบการณ์ชีวิตจริงจึงต้องเรียนและต้องเรียนเพื่อให้รู้ ต้องทำวิจัยเพื่อให้รู้ ทำทฤษฎีใหม่นั้นให้เป็นจริง ตามมาตรฐานของสถาบันการศึกษาในแต่ละแห่ง (แต่ไม่ได้หมายรวมถึงผู้ที่มิได้เรียนอย่างจริงจังเพียงแค่เรียนพอเป็นพิธี และอาจจะมีผู้อื่นเขียนผลงานให้ประกอบกับการจ่ายเงิน ให้แก่มหาวิทยาลัยได้ครบและอนุมัติให้จบได้ทันที เช่นนี้ไม่อยู่ในความหมายของ ดุษฎีบัณฑิตโดยทั่วไป เพราะคิดว่าน่าจะใช่ แต่ก็ไม่น่าจะใช่) แล้วดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ล่ะ จะหมายความว่าอย่างไร ? ก็หมายความว่า ประสบการณ์แห่งชีวิตที่อาจจะเป็นทฤษฎีแห่งการปฏิบัติซึ่งผู้อื่นสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ หรือจะพูดให้ง่ายๆก็คือ เป็นดุษฎีบัณฑิต ที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรง แต่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีการปฏิบัติอย่างยาวนานอาจจะกลายเป็นวิธีการเฉพาะของบุคคลนั้นๆ ซึ่งผู้อื่นสามารถเรียนรู้แล้วนำไปปฏิบัติได้
เป็นอันว่า ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) คือ มิได้เรียนมาเพื่อจะเป็นดุษฎีบัณฑิต จึงมีคำว่า “กิตติมศักดิ์” และควรที่จะเข้าใจได้เลยว่า คำว่า “กิตติมศักดิ์ (HONORARY)” นั้นเป็นการให้เกียรติ อันเนื่องมาจากเรื่องราวแห่งความเป็นจริง ของบุคคลนั้นๆ ซึ่งเจ้าของเรื่องราวนั้น ย่อมต้องมีความภาคภูมิใจอยู่แล้วเป็นทุนนั่นเอง คือ ประสบการณ์ชีวิต ที่ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านการลองผิด ลองถูก ผ่านความสำเร็จ และล้มเหลว หรืออีกหลากหลายเหตุผล ที่จะทำให้บุคคลผู้นั้นได้รับการยอมรับจริงๆ
ปริญญาดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU2) คือ ปริญญาชีวิต นั่นเอง คือ ปริญญาจริงๆ ซึ่งมีการปฏิบัติจริง เป็นของจริงและเป็นของแท้สำหรับ ชีวิตของผู้เป็นเจ้าของเรื่องราวแห่งชีวิตของแต่ละคน ปริญญาชีวิต (ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์) จึงมีค่ายิ่งกว่า เอกสารรับรอง ความรู้ชนิดใดๆซึ่งน่าภาคภูมิใจยิ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า เราจะได้รับการยอมรับให้ได้รับเกียรติแห่งชีวิตอันสูงยิ่ง ที่มีคำนำหน้าว่า ดอกเตอร์ (DOCTOR) หรือคำต่อท้าย นามสกุลว่า Ph.D (Hon) ของการเป็นดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU2) แล้ว ก็มิได้หมายความว่า เราจะหยุดอยู่แค่การมีความสุข หรือ ความภาคภูมิใจกับปริญญาที่ได้ โดยมิได้มีการพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปอีกเลย
โปรดจงทราบว่า เมื่อเราเป็น ดอกเตอร์ (กิตติมศักดิ์) หรืออาจจะถูกเรียกเฉพาะคำว่า ดอกเตอร์ ก็ตาม เราจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เรากำลังเป็น เหมือนกับ ครูอาจารย์ที่สังคมให้เกียรติยกย่องนับถือเราจึงจำเป็นต้อง หิวกระหาย การศึกษาค้นคว้าหาอ่านด้วยตนเอง หรือจะเป็นการศึกษาในระบบของสถาบันใดๆ ก็ตาม ขอแต่เพียงว่า อย่าหยุดเพิ่มเติมความรู้ และการเป็นดุษฎีบัณฑิต นั้นต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับที่คนเขาให้เกียรติการเป็น ดอกเตอร์ และหมายความถึงมารยาทสังคม ที่คนเป็น ดอกเตอร์ ควรจะเข้าใจด้วยเช่นเดียวกัน เหตุฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่จะรับปริญญาดุษฎีบัณฑิต(กิตติมศักดิ์) นั้นจะต้องได้รับการฝึกอบรมปฐมนิเทศหรือจัดสัมมนาเป็นเบื้องต้น  ตามสมควรแล้วจึงรับปริญญา แต่หากได้รับการอนุโลมให้ได้รับปริญญา เสียก่อนแล้ว จึงควรจะพัฒนาการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมดังที่กล่าวมา และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการจัดให้ ดังนั้นดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงควรติดตามความเคลื่อนไหวของมหาวิทยาลัยทาง www.http://wpubkk.blogspot.com/  อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ปอกเปลือก ผอ.เบาะเสีย เหลือบแห่งวงการสื่อหนังสือพิมพ์


เหตุใด นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) จึงได้ทำการโจมตี ให้ร้ายมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกอย่างหนัก
นับจากที่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกได้ทำการสถาปนา เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.. 2555 .โรงแรมเดอะแชงกรีล่า จ.เชียงใหม่ และหลังจากนั้นทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็ได้ ทำการจัดพิธีประสาทปริญญาบัตร (กิตติมศักดิ์)ให้แก่บุคคลพิเศษของสังคมอยู่เสมอๆ และนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับมอบปริญญาบัตร ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์  โดยศาสตราจารย์ กิตติคุณ ดร.สวัสดิ์ บันเทิงสุข อธิการบดีผู้ก่อตั้ง ได้เล็งเห็นความสำคัญ (ที่ยังขาดรายละเอียดอีกมากมาย) แต่ต้องการส่งเสริมคุณค่าและให้เกียรติ บุคคลที่อ้างตนเป็นสื่อ เบาะเสีย (โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสื่อแท้เพื่อสังคมในขณะนั้น) จึงมอบปริญญาบัตรให้ที่วัดห้วยปลากั้ง ทางภาคเหนือ เมื่อนายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ได้เป็น       ด็อกเตอร์ (กิตติมศักดิ์) ก็มีความยินดีเหมือนกับบุคคลดีๆ  โดยทั่วไป จึงมักจะได้รับความสำคัญ จากท่าน ดร.สวัสดิ์  บันเทิงสุข โดยการเชิญไปร่วมงาน พิธีมอบปริญญาบัตร กิตติมศักดิ์ ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกในหลายสถานที่ และมักจะได้สวมครุยของมหาวิทยาลัย ร่วมเป็นเกียรติกับผู้รับปริญญาบัตร ด้วยความใจดีของผู้ใหญ่รุ่นราวคราวบิดาที่เป็นครูบาอาจารย์ผู้ใจดี รู้สึกเมตตานายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ประกอบกับความเข้าใจ(ผิด) คิดว่าเป็นสื่อดี สื่อมืออาชีพเพื่อสังคม เพราะฟอร์มดี มีการเคลื่อนไหวเป็นฝูง ดูคึกคักน่าเกรงขาม ดุจผู้มีบารมีที่มีอิทธิพล ด้านวงการสื่อ น่าจะเป็นที่เชื่อถือของสังคมได้มาก
ความเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ความมีเมตตาแบบครูบาอาจารย์ จึงมองเห็นคุณค่าเพิ่มเติม จากนายแสบสันประสาท (ผอ.เบาะเสีย) จึงได้มีความตั้งใจจะร่วมมือกับ เบาะเสีย โดยมีการประชุมร่วมกันมีการบรรยายโดย ท่านอาจารย์ สวัสดิ์ บันเทิงสุข เป็นผู้บรรยายและมีการกล่าวแสดงเจตจำนงในความร่วมมือในทำนองเหมือนกับทำ เอ็ม โอ ยู  ( MOU ) แต่ยังเป็นเพียงแค่เป็นวาจา เพื่อสนับสนุนการสร้างสันติภาพ ซึ่งมีภาพและเสียงปรากฏอย่างชัดเจนใน VDO ที่อยู่ใน ยูทูป (Youtube)
หลังจากวันประชุมอันหวานชื่นร่วมกันผ่านไปไม่นานนัก นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) มักจะถูกกล่าวถึงเสมอในทางที่ดี โดย อาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข และนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ก็ไปร่วมกิจกรรมกับอาจารย์ด้วยความยินดีและมีเกียรติในหลายๆ งาน ความใกล้ชิดและสนิทสนม ระหว่างอาจารย์ และลูกศิษย์ใหม่ค่อนข้างจะถูกใจ ผู้ใหญ่ใจดี ที่อาจจะพลั้งเผลอพูดให้ตำแหน่ง แต่งตั้งเป็นใครบางคน ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ตามประสาผู้ใหญ่ปากไวใจดี มีเมตตาต่อทุกคน ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงดำเนินไปอย่างค่อนข้างจะราบรื่น คล้ายๆกับต่างฝ่ายต่างหลงใหลซึ่งกันและกัน
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์ได้ไปทำการมอบปริญญาบัตรที่วัดแห่งหนึ่งแถวๆ จังหวัดนครปฐม และด้วยความเป็นผู้ใหญ่ ผู้มีความมั่นใจสูง ได้พลั้งเผลอพูดจาผิดพลาด เป็นเหตุให้บรรดาลูกศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆ ไม่ค่อยสบายใจนัก ตัวท่านอาจารย์จึงตระหนักรู้ว่า ตนเองได้กระทำผิดพลาดด้วยคำพูด ท่านจึงบ่นกับเพื่อนร่วมงานและศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า “ท่านเสื่อมแล้ว” ท่านอยากจะลาออก และท่านก็ตัดสินใจประกาศลาออก จากการเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก( WPU ) โดยศิษย์ใหม่ก้นกุฏิบางคนก็ทำหน้าที่พิมพ์คำประกาศลงในอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับข่าวของมหาวิทยาลัย และการลาออกจะมีผลในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.. 2556  ณ.สนามกอร์ฟกัสซัน จังหวัดลำพูน เพราะว่าในวันนั้นท่านอาจารย์ จะทำการมอบปริญญา โดยการดำเนินของอาจารย์เองซึ่งตั้งใจว่าจะทำเป็นครั้งสุดท้าย
ในระหว่างนั้นบรรดาลูกศิษย์ใหม่ผู้มีความประทับใจผู้ใหญ่ปากไวใจดี จึงมีความหวังว่า ตนน่าจะได้มีโอกาสมีตำแหน่งอันสำคัญ ได้แต่รอวันนั้นเร็วๆ และนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ศิษย์ใหม่ผู้มีความหวัง และหัวใจพองโต ก็ได้รับเชิญเป็นแขกสำคัญ ไปงานดังกล่าวด้วย และในงานวันดังกล่าว ที่มีการอบรมผู้นำที่เรียกว่า Peace Leader ซึ่งมีบรรดาผู้ที่จะรับปริญญากิตติมศักดิ์ระดับต่างๆ ทยอยเดินทางมาถึง ในการประชุมที่ยังไม่เต็มรูปแบบนัก นายแสบสันประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ก็ได้รับการยกย่องจากท่านอาจารย์สวัสดิ์  บันเทิงสุข ต่อหน้ากลุ่มคนเหล่านั้น ยิ่งทำให้นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) มีความหวังและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
การเดินทางไปร่วมงานสำคัญดังกล่าว ที่นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) เต็มไปด้วยความหวัง จึงไปแบบผู้มีพลังเช่นเดิม (ไปเป็นฝูง) ตามประสาของคนประเภทพิเศษ และสิ่งที่น่าภาคภูมิใจซึ่งกันและกันมากก็คือ ท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข ได้สวมป้าย (ปลอก) ห้อยคอยี่ห้อเบาะเสียจนคนเข้าใจว่าอ้าวอาจารย์เป็นคนสำคัญของเบาะเสียไปซะแล้วอาจารย์สวมป้าย (ปลอก)ตลอดเวลา คนหนึ่งเป็นอาจารย์สวมป้าย (ปลอก) เบาะเสีย ด้วยความยินดี คนหนึ่งรอเข้าร่วมพิธี หวังว่าจะได้รับการประกาศเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย ในตำแหน่งสำคัญ ช่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งและที่หนักยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อถึงเวลาจะทำพิธีประสาทปริญญาบัตรในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.. 2556 .ห้องประชุมใหญ่สนามกอร์ฟกัสซัน จ.ลำพูน เมื่อผู้ที่จะเข้ารับปริญญาบัตร(กิตติมศักดิ์) เข้าประจำที่ค่อนข้างจะพร้อม คณะผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องโดยตรงยืนสวมครุยประจำตัวยืนเข้าแถวให้เกียรติแก่ผู้รับปริญญาบัตร และได้เวลาที่ประธานผู้ประสาทปริญญาบัตรขึ้นนั่งประจำที่บนเวทีและสิ่งที่ช็อคในสายตาของผู้คนในขณะนั้นคือท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข ได้เชิญให้นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) สวมเสื้อครุยของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก นั่งใกล้ในระดับเดียวกับ เจ้าดวงเดือน ณ.เชียงใหม่ ผู้ประสาทปริญญาบัตร เป็นเหตุให้นักวิชาการสตรีผู้มีวุฒิภาวะสูง ซึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้นเพื่อจะส่งมอบปริญญาบัตรให้ท่านประธาน ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงนั้นไม่สามารถที่จะรับสถานะภาพของนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ซึ่งบังอาจไปนั่งเสมอกับเจ้า และเขาเหล่านั้นต้องนั่งคุกเข่าให้นายแสบสัน ประสาท ด้วย เขาเหล่านั้นจึงลุกขึ้นเดินลงจากเวที ขอสละสิทธิ์ในการหยิบยื่นปริญญาบัตร (เรื่องนี้นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ไม่รู้สึกตัวและไม่เฉลียวใจอะไรเลยเพราะกำลังนั่งเป็นบุคคลสำคัญ(ผิด) ด้วยความตื่นเต้นเพื่อฟังการประกาศแต่งตั้ง ))
ในช่วงก่อนเวลาที่จะเริ่มพิธีประสาทปริญญาบัตรเพียงเล็กน้อยนั่นเอง ผู้ดำเนินรายการได้เรียนเชิญท่านนายกสภามหาวิทยาลัย คือ ศาสตราภิชาน ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฎ์ เป็นผู้กล่าวคำแถลงการณ์ และลำหน้าที่อ่านมติอันสำคัญท่ามกลางผู้รับปริญญาที่นั่ง และทำหน้าทญาติที่ยืนเต็มห้องประมาณ 250 คน
ท่านลองจินตนาการดูซิครับว่า ผู้ที่มีความหวังว่าจะได้เป็นใหญ่ และรอคอยมาหลายวัน และลงทุนทำบัตรประจำตัวเบาะเสียสวมคอให้ท่านอาจารย์สวัสดิ์ และได้นั่งอยู่ตรงที่ทุกคนมองว่าต้องเป็นบุคคลสำคัญ (ที่หลายคนกำลังรอ) ซึ่งคู่เคียงอยู่กับ ท่านเจ้าดวงเดือน ณ.เชียงใหม่ ...แน่นอนว่า ตื่นเต้นระทึก ต่อความหวังที่จะถูกประกาศชื่อเป็นบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน…!
และแล้วเวลาก็มาถึง ท่านอาจารย์ เรวัตร ประกาศในนามของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU) ซึ่งได้กล่าวถึงท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข อธิการบดีที่ได้ประกาศลาออกนั้น และตัวท่านอาจารย์ เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฎ์ ก็ประกาศลาออกจากนายกสภามหาวิทยาลัย เช่นเดียวกันในช่วงต่อจากการประกาศโครงสร้างใหม่ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยคือ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก โดยมติของสภาได้กำหนดให้มีคณะผู้บริหาร ในรูปแบบของคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยดังนี้
1.       ศาสตราภิชาน ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฎ์ เป็นประธานกรรมการบริหารและเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และขอลาออกจากการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU)(หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU 2)
2.       ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สวัสดิ์ บันเทิงสุข เป็นกรรมการและเป็นผู้ก่อตั้ง (แต่พ้นจากสภาพของอธิการบดีด้วยการลาออกโดยมีผลในวันนี้) หลังจากนนั้นได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU) อีกครั้งหนึ่ง
3.       ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรมเป็นกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง
4.       ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ ดร.ศุภณัฐ ดอนจันทร์
-          เป็นกรรมการ,เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และ
-          เป็นประธานกรรมการตรวจสอบจริยธรรมคุณธรรมของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกทุกสาขาทั่วโลก
-          เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU2) (และคงทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนของมหาวิทยาลัย)
คำประกาศดังกล่าวกระทำต่อหน้าบุคคลประมาณ 250 คน ที่อยู่ในห้องประชุมซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีวุฒิภาวะและมีเกียรติทั้งสิ้น คำประกาศดังกล่าวมีต้นฉบับเอกสารและมีผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีก หลายท่านลงชื่อให้การรับรองโดยถูกต้อง
หลังจากที่สิ้นคำประกาศ ทุกคนในห้องประชุมได้ปรบมือแสดงความยินดีอย่างเต็มเปี่ยมด้วยแววตาแห่งความยินดีด้วยจริงใจ
แต่นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) มีอาการผิดหวังอย่างหนัก  เหมือนกับฟ้าผ่ากลางใจ ที่เกือบจะควบคุมอารมณ์แห่งความผิดหวังไว้ไม่ได้
อารมณ์โกรธจากความผิดหวัง ได้ถลึงตาจ้องหน้าอาจารย์ เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฎ์ อย่างชนิดที่ ตัวท่านอาจารย์เรวัตร์  เองไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่รู้ได้ว่าโกรธและแค้น
ความรักในตัวอาจารย์สวัสดิ์ จึงกลายเป็นความโกรธ  ความนับถืออาจารย์เรวัตรจึงกลายเป็นความแค้น ความเริ่มจะคุ้นหน้ากับ นายศุภณัฐ จึงกลายเป็นความอับอาย ขายหน้าของนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) โดยที่ไม่มีผู้บริหารมหาวิทยาลัยคนใดคาดคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกคนเป็นคนดี มองเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นเรื่องของความเหมาะสม มิใช่เป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือเป็นผู้น่าเกรงขาม
แต่นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) มองเป็นเรื่องของผลประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะเหตุใดหรือ ?!
เมื่อเสร็จสิ้นจากงานประกาศ อีกประมาณ 10 นาที ก่อนพิธีประสาทปริญญาบัตรจะเริ่มขึ้น มีคณะผู้บริหารบางคนและผู้ร่วมเป็นเกียรติที่ติดภารกิจ ก็รีบเดินทางไปสนามบินเพื่อจะให้ทันเที่ยวบิน ที่จะกลับกรุงเทพฯ เมื่อเสร็จสิ้นในพีธีประสาทปริญญาบัตร หลายคนก็เริ่มเดินทางกลับ ผู้คนก็เริ่มส่างซา...แต่ว่าความหวังของนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) กลายเป็นความโกรธและกลายเป็นความแค้น ด้วยมิจฉาทิฏฐิ และด้วยความหวังแห่งลาภยศ และผลประโยชน์  ทำให้นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ขอคุยกับท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข แบบมิใช่ลูกศิษย์ใหม่ และคู่มิตรคู่หลงซึ่งกันและกันอีกต่อไปเสียแล้ว เพราะว่าธาตุแท้ตัวจริงเสียงจริง ของนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ได้แสดงต่อท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข ขอเงินสด 500,000 บาท และขอตำแหน่งอธิการบดีในบรรยากาศที่คนส่างซาลงไปมาก แต่ก็ยังมีคนเห็นบรรยากาศการสนทนาประมาณ 10 คน แต่ท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข ไม่สามรถตอบสนองความต้องการของอันตพาลแสบสันได้ และแล้วต่างคนก็ต่างแยกไปตามวิถีทางของตน บนถนนของคนที่ผิดหวังและสมหวัง
อีกไม่กี่ชั่วโมง  ถัดมาถึงเวลาค่ำ ยามดึกก็เริ่มมีข่าวโจมตี มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจาก ผอ.เบาะเสีย  ซึ่งคนที่กำลังมีความสุขในการดูข้อมูลของมหาวิทยาลัยกลับเห็นการเริ่มโจมตี ของนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) และเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มปฏิบัติการยุแหย่ แทรกแซง บิดเบือน ใส่ร้าย ตามสไตน์ของอันตพาลอาชีพ ความเป็นตัวตนของนายแสบสัน  (พันธุ์เดิม) เริ่มอาละวาดทางสื่ออินเตอร์เน็ตอย่างหนัก  พร้อมด้วยการหักมุมจากความจริงสู่ความเท็จและทำความชั่ว ด้วยการมั่วตอบคำถาม  จากพฤติกรรมแห่งการกรรโชกทรัพย์ท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข เป็นเงิน 500,000 บาท โดยการอ้างว่า ต้องการให้อาจารย์ เอาเงินคืนให้คนที่มารับปริญญา  สงสารเขา อะไรทำนองนั้น นายแสบสัน ประสาท ลืมไปว่า  คนที่มารับปริญญาเขารู้ว่า  ค่าห้องพักต้องเช่า ค่าอาหารต้องจ่าย ค่าครุยต้องมี ค่าดำเนินงานต้องมี แล้วทุกอย่างจะฟรีได้อย่างไร……..?  แล้วหากว่าอยากจะเอาเงินคืนให้ผู้รับปริญญาว่าถูกหลอก แล้วนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) อยากได้ตำแหน่งอธิการบดีเพื่ออะไร ? สังคมของผู้เจริญแล้วเขารู้อยู่ว่าหมอนี่เป็นคนไม่ดี
และแล้วพยายามนำภาพที่ไปร่วมงานรับปริญญาในครั้งที่ผ่านๆมาว่า”ใช้วิชาเข้าถ้ำเสือ เพื่อไปเอาลูกเสือ”  ก็ฟังไม่ขึ้นเพราะ สถานที่รับปริญญาทุกที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่เปิดเผย ทางสาธารณะ และในบรรยากาศก็เต็มไปด้วยคนดี ผู้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี  มีคุณค่าแห่งชีวิต ทุกคนมีประวัติ สวมครุยในฐานะคนดี คนมีเกียรติ และนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้สวมครุย อย่างมีเกียรติเช่นกัน(ในขณะนั้น) แล้วนั่งอยู่กับเจ้าดวงเดือน ณ.เชียงใหม่  ณ.ที่นั่นเป็นถ้ำเสือเหรอ…?  แน่นอนว่า คำอธิบายฟังไม่ขึ้นแต่อาจจะมีคนแอบคิดว่านั่นคือ ซาตานที่แฝงตัวมาอยู่ในหมู่เทวดา  น่าจะเหมาะสมกว่า
นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ยังคงใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง ในการโทรหาเพื่อขอพบบุคคลที่เห็นว่าจะไม่คิดอะไรมาก และเชื่อง่าย เพราะมีเมตตาจิตสูง นั่นคือ ภิกษุณี, พระสงฆ์  ซึ่งพยายามกล่าวให้ผู้ทรงศีลเหล่านั้นไขว้เขว  และคนอื่นๆนอกจากนั้นก็มักจะถูกถามถึงเรื่องการเรียกรับเงินจำนวนเท่าใด
ทำไมผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ อย่างนายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) จึงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเงินว่าใครใช้จ่ายเท่าไร  ซึ่งทั้งๆที่ทุกคนที่ยินดีช่วย เป็นค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าใด  มันเป็นเรื่องของผู้ที่ยินดีรับและยินดีช่วย  ผู้รับปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ  เป็นผู้มีภูมิปัญญา  มีวุฒิภาวะเพียงพอ  จึงมีวิจารณญานคิดแยก ดีชั่ว แยกเหมาะสมได้ด้วยตนเอง  ไม่จำเป็นต้องใช้ความฉลาด (แกมโกง)  ของนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย มาช่วยเหลือหรอก)
เหตุใดนายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ตามติดเรื่องเงินเป็นหลัก มากกว่าการมองความจริงอย่างเป็นเหตุเป็นผล  ผลจึงเกิดแก่คนรู้ทัน  ที่สันนิษฐานว่าหมอนี่  อาจจะต้องการเงินไปจ่ายค่าเทอมปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยที่ตนกำลังเรียนอยู่หรือไม่ เพราะช่วงหลังหากินลำบาก เพราะเพื่อนๆเขาเรียนจบกันไปเกือบจะหมดแล้ว และในประวัติไม่ปรากฏว่ามีอาชีพอะไรที่แน่นอน  และมีที่อยู่ก็ไม่แน่นอนและได้รับการยืนยันจากบรรดา (แปลว่าหลายคน) ในวงการหนังสือพิมพ์ เป็นเสียงเดียวกันว่า  นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) มีอาชีพที่หากินแบบไม่ธรรมดามานานแล้ว พวกโรงงานก็โดนคนดีๆ ที่ขี้กลัวก็โดนหมอนี้เลยได้ใจ ชอบแอบอ้างเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติตามหน้าที่ เป็นผลงานของตนว่าเป็นคนลงพื้นที่ นำจับ นำภาพแอ็คชั่นมาหลอก ชาวบ้านให้หลงเชื่อส่วนผลงานที่ว่าสามารถสืบเสาะและจัดการคนไม่ดีได้นั้นคือ    แม่ชี  คือสตรีชรา  ที่ไม่สามารถสู้อะไรได้  แม่ชีมีอายุมากมีเมตตา ใครไปหาก็ให้ฟรี แต่ไม่รู้นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) สวมวิญญาณของซาตานตนใด  ที่มีส่วนกระทำผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ที่ไม่สามารถใช้จิตชั่ว  มาต่อสู้กับสื่อซาตานได้เมื่อแม่ชีชรา ผู้มีอายุมากกว่าผู้เป็นแม่ไม่สามารถต่อสู้ได้  ต้องกลายเป็นจำเลยสังคมและเทพบุตร ผู้ชนะคือ  นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) นั่นคือชัยชนะอย่างลูกผู้ชายที่ขาดความละอาย ต่อความเป็นชายที่ยังคงเอาเรื่องราวของ แม่ชีชรา  มาหากินให้คนเชื่อถือ  ในสังคมไทยนั้นลูกผู้ชายไทยแท้ๆ เขาจะไม่ยินดีกับพฤติกรรมเช่นนี้  แล้วสื่อใหญ่ๆ ที่มีสกุลรุณชาติไม่มีใครเขาจะมาเล่นด้วยกับสื่อที่เป็นเพียง  กระดาษเขียนข่าวเทียม ใครจะให้ความสำคัญ กับนายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) เขารอแต่เพียงว่า เทพบุตรซาตานในละครน้ำเน่าเรื่องอย่างแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) จะจบลงเช่นไร
การให้ร้าย การโจมตี  มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จึงกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งตียิ่งดัง  และสังคมจะรู้ได้เองว่า  ผู้ที่ได้รับดุษฎีบัญฑิต (กิตติมศักดิ์) ทุกท่านคือคนที่มีเรื่องราวแห่งชีวิตที่ดี  จึงได้ปริญญาแห่งชีวิตไว้เป็นเกียรติ เป็นความภาคภูมิใจ  แก่ตนและวงศ์ตระกูล
แรงบันดาลใจแห่งความชั่ว ที่เป็นความโลภ และความโกรธ รวมทั้งการหลงตนของ นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ที่พยายามทำลายมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกนั้น  ถือว่าเป็นการลบหลู่เกียรติผู้รับปริญญาบัตรซึ่ง  ไม่มีใครที่จะเป็นคนโง่  แล้วไร้ปัญญาจึงได้รับปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์  อย่างแน่นอน  แต่กลับตรงกันข้าม คือผู้ที่พยายามทำลายผู้อื่น  ด้วยการกล่าวหาใส่ความผู้อื่นอันเป็นเท็จ ด้วยการโฆษณา  ทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูถูก เกลียดชัง จากสังคม  คือองค์ประกอบอันสำคัญ ที่เป็นรางวัลชีวิตแก่นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) คือการหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ถึงแม้ว่านายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) จะหยิ่งทรนงค์ว่าข้าแน่ ข้าเก่ง  ข้าไม่กลัวใคร แต่ก็หนีไม่พ้นอย่างแน่นอน และที่หนักกว่านั้น  มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างประเทศ ที่นายแสบสัน ประสาท (ผอ.เบาะเสีย)ได้กระทำการหมิ่นรัฐบาลประเทศปากีสถาน โดยการเยาะเย้ยบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่ทางราชการประเทศปากีสถานออกให้ โดยกระทำเป็นพฤติกรรมในทำนอง เยาะเย้ยดูถูก เหยียดหยัน  เรื่องนี้ทางประเทศปากีสถานได้แจ้งให้สถานฑูตของเขาในประเทศไทยได้รับทราบ และเอกสารที่เป็นการกระทำทางอินเตอร์เน็ต โดยนามของ ผอ.เบาะเสีย และลิ่งล้อผู้หลงผิดนั้น ได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้มีการ  แพร่ไปทั่วโลกทำให้ประเทศปากีสถานเสียหาย
การนำภาพบุคคลสำคัญของบ้านเมืองที่ได้รับปริญญาบัตรมาล้อเลียนเยอะเย้ยก็แปลว่าการอวสานของนายแสบสัน ประสาท จวนเจียนเต็มที่
นายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ยังไม่ทราบชะตาและอนาคต (ปกติไม่มีอนาคตอยู่แล้ว) เพราะยังไร้เดียงสา ขาดวุฒิภาวะ ขาดความเป็นผู้มีจิตใจสูง การกระทำดังกล่าวจะถูกแจ้งอย่างเป็นทางการต่อกระทรวงการต่างประเทศของไทย  และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง   ชั่วคนเดียวแค่นี้ประเทศชาติเสียหาย แล้วจะพูดว่ากู้ชาติ ได้อย่างไรกัน มาถึงจุดนี้เราคงจะรู้ได้โดยทันทีแล้วว่า เทพบุตรซาตาน เจองานใหญ่  ผลงานสร้างความเสื่อมเสียให้ประเทศชาติและสังคม  ทำลายภาพพจน์ที่ดีของวงการสื่อมืออาชีพ  ที่ตนเป็นเพียงแค่เหลือบของวงการสื่อเท่านั้นเองขาดการยอมรับในแวดวงวิชาชีพ ที่พยายามนำไปกล่าวอ้าง เพื่อการดำรงชีพให้รอดไปในแต่ละวัน (บางวันก็ไม่ค่อยจะรอด)
ดังนั้นนายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) หรือเทพบุตรซาตาน  ขอให้ทำลายมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  ทำลายเกียรติภูมิของผู้รับปริญญาต่อไปเถอะ ถึงเวลานั้น  รางวัลแด่คนช่างฝันจะเป็นของเธอ คือ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” สำหรับแนวร่วมของนายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) ถ้าคิดได้เอง หากินได้ด้วยตนเอง ก็ควรจะสำนึกและกลับใจ ถอยให้ห่างไกลคนชั่ว อย่าลืมสังคมไทยกำลังพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ดังนั้น  เสี้ยนหนามของคนดี  เหลือบลิ้นของหนังสือพิมพ์ดีๆกำลังจะยุติ
 ถ้านายแสบสัน  ประสาท (ผอ.เบาะเสีย) กลับมานั่งทบทวนดูพฤติกรรมของตนแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่นานจะรู้ว่าถ้าไม่สำนึก แล้วกรรมจะตามทัน
การหากินที่ไม่สะอาดก็แย่แล้ว
การเข้าทรงปลอมก็แย่กว่า
การไม่สำนึกก็แย่ที่สุด
ถ้าลูกพี่ไม่ยอมหยุด  ลูกน้องที่ยังรักเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ก็ จงหยุดเสียเถอะ อย่างน้อยลูกหลานจะได้ภาคภูมิใจ แล้วสังคมจะให้อภัย

                                                                                โดย นายรักเกียรติ  สำนึกดี

กว่าจะถึงวันสถาปนามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก




 
กว่าจะถึงวันสถาปนามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ก่อนอื่นต้องรู้เสียก่อนว่า  ที่มาของมหาววิทยาลัยสันติภาพโลกนั้น  เป็นแรงบันดาลใจของนักวิชาการ  นักต่อสู้  ผู้มีความมุ่งมั่นสรรค์สร้างให้เกิดความยุติธรรม  เป็นกำลังใจแก่คนทำดี  มีผลงานที่มีการช่วยเหลือสังคม  และนำประสบการณ์ชีวิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์แก่ผู้อื่น  และในขณะเดียวกันก็ยังมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาให้แก่ผู้ด้อยโอกาสของสังคม    การเริ่มต้นในแนวคิดและการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงมีความชัดเจนในแนวทางการดำเนินงาน  กล่าวคือ  มหาวิทยาลัย  มีแนวคิดและทิศทางที่ถือว่าเป็นการปฏิรูปการศึกษาให้แก่สังคมโลก  โดยเริ่มต้นด้วยความคิดของนักวิชาการไทย  โดยมุ่งเน้นด้านการส่งเสริมพัฒนาด้านการศึกษา  เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในทุก ๆ อนูของสังคมทุกระดับทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค  ตลอดจนสังคมระดับโลก
สิ่งที่จริงแท้และแน่นอนในการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  ซึ่งถือว่าเป็นพันธกิจที่ยิ่งใหญ่  เพื่อมนุษยชาติ  คือพันธกิจระดับโลก ( World Mission )  จึงจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน  ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยเฉพาะบุคคลากรที่จะเข้ามาเป็นองค์ประกอบที่จะสถาปนาสถาบัน  อันเป็นองค์กรทางด้านการศึกษาในรูปแบบใหม่  ที่ทันยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม  รวมทั้งด้านการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  และมีการสื่อสารสู่สังคมได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายรูปแบบ  อย่างไร้ของเขตจำกัด
การใช้ชื่อว่า  มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  จึงเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้  ไม่มีเหตุผลใดที่จะสรุปว่า  ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม  หรือคุณธรรมทางสังคมแต่ประการใด  แนวความคิดและทิศทางของการดำเนินงาน  เป็นไปในทางที่จะสร้างแต่คุณความดีให้เกียรติยกย่อง  ส่งเสริมประกาศคุณความดีของคน  ภายใต้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  จึงใช้ที่อยู่ ( มิใช่ที่ตั้ง )  ในต่างประเทศ  ถึงแม้จะคิดริเริ่มโดยคนไทยก็ตามและไม่เกี่ยวกับหลักการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในประเทศ  ซึ่งมีมุมมองและหลักปฏิบัติที่แตกต่างกัน
ความคิดในด้านการศึกษา  ที่มีความแตกต่างจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน  ที่ผู้มีอำนาจซึ่งดูแลด้านการศึกษาต้องพึงระมัดระวังอยู่เสมอเช่นเดียวกัน  มิใช่ว่า  ถ้าไม่เหมือนกรอบที่ถูกกำหนดไว้แล้วจะต้องผิดเสมอไป  เพราะสิ่งที่อยู่ในกรอบของกฎหมายในปัจจุบันนั้นมีความผิดปกติอยู่มาก  โดยเฉพาะคุณภาพและมาตรฐานของการศึกษาที่มุ่งเน้นให้คนเห็นว่า  ถ้ามีปริญญาในกรอบแล้วจะต้องมีคุณภาพเสมอไป  ผลสุดท้ายคือความล้มเหลวทางสังคม  เพราะระบบการศึกษาในกรอบกลายเป็นภาพลวงตาให้สังคมเข้าใจผิด  บ้านเมืองของเราจึงเต็มไปด้วยบัณฑิต  แต่วิถีชีวิตของการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพด้วยกระดาษที่ให้การรับรองการศึกษาเท่านั้นมันกลับกลายเป็นสิ่งที่บอกแก่สังคมว่า  สังคมของเราล้วนมากมายไปด้วยคนที่มีวุฒิการศึกษาแต่ขาดปัญญาในการเอาตัวรอด  ครอบครัวก็ได้รับผลกระทบ  ประเทศชาติก็ขาดการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปได้อย่างมีคุณภาพ  เพราะคนรุ่นใหม่ของสังคมกำลังอุดมไปด้วยปริญญา  แต่ด้อยความสามารถเพราะขาดประสบการณ์ชีวิต  ประกอบกับระบบการดูแลมาตรฐานทางการศึกษา  มัวแต่มองหาว่าใครผิด  อะไรผิด  ใช้แต่ความคิดแคบ ๆ  ถ้าใครทำอะไรที่แปลกใหม่ไปจากความคิดแบบโบราณเก่า ๆ แล้ว  จะกลายเป็นความไม่ถูกต้องหรือเป็นการกระทำที่เรียกว่าผิด  หรือกล่าวหาว่าเถื่อน  ในเรื่องนี้เคยมีผู้กล่าวไว้อย่างน่าคิดในเชิงปรัชญาจากอดีตรองอธิบดีกรมอาชีวะศึกษา  คือ  ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ  ดร.สุนันท์  เทพศรี  ซึ่งเป็นนักบริหารการศึกษาที่เคยเป็นหนึ่งใน  6  คน  ของผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ  ได้กล่าวว่า  การศึกษาในปัจจุบันจะเอาอะไรมาเป็นมาตรฐาน  เพราะการบริหารจัดการล้มเหลว  ผิดพลาด  และหลงทาง  ไอ้ที่ว่าเถื่อนนั้น  อาจจะแท้ก็ได้  แล้วที่ว่าของแท้นั้นอาจจะเถื่อนก็ได้  เพราะทุกวันนี้สถาบันการศึกษาที่ว่าแท้นั้น  ยังแอบทำอะไรเถื่อน ๆ อยู่มากมาย  และสถาบันที่ว่าเถื่อนนั้น  เขาทำอะไรมากมายที่เป็นของแท้  สำหรับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกนั้น  ผมถือว่า  เป็นของแท้  เพราะว่าเขาให้เกียรติ  ยกย่อง  ยอมรับ  ประกาศเกียรติคุณให้กับบุคคลที่มีเรื่องราวและผลงานแท้ ๆ  ผมคนหนึ่งที่ภูมิใจ  เพราะผมเป็นของแท้
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  ได้ทำการกำหนดนโยบาย  และทิศทางในการสร้างสันติภาพให้เกิดแก่สังคม  โดยใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ด้านการศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัย  ให้ปริญญาชีวิตประเมินมูลค่าแห่งประสบการณ์ของชีวิต  มาให้การรับรองเป็นมาตรฐานที่เราเรียกว่า  บัณฑิตกิตติมศักดิ์ในระดับต่าง ๆ  และตำแหน่งทางวิชาการที่เป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ในระดับต่าง ๆ  โดยมิได้แอบอ้างหรือเลียนแบบ  ชื่อหรือรูปแบบของสถาบันการศึกษาใด ๆ  โดยผู้ก่อตั้งในยุคบุกเบิกนั้น  คือ  ศาสตรจารย์กิตติคุณ ( Emeritus  Professor )  ดร.สวัสดิ์  บันเทิงสุข  ซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของสังคม  เป็นนักวิชาการที่ใช้ชีวิตในความเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นานถึง  30  ปี  และมีตำแหน่งในอดีตเป็น  ประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  2  สมัย ( 8  ปี )  เป็นนักฝึกอบรมและนักคิดที่มีแนวความคิดก้าวหน้าแบบนอกกรอบและเป็นสากล    เป็นอธิการบดีผู้ก่อตั้งและเป็นกรรมการบริหาร  โดยเป็นผู้เลือกสถานที่ซึ่งมีบ้านเลขที่อันเป็นจุดกำเนิดของชื่อมหาวิทยาลัยที่รัฐฟลอริดา  โดยถือว่าตัวต้นกำเนิดมหาวิทยาลัยนั้น  อยู่ในรูปแบบของพื้นที่ในอากาศ  คือการสื่อสารทุกรูปแบบ  รวมถึงสถานที่บนพื้นดินที่สามารถใช้ในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่กันและกัน  โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นห้องเรียนแบบมหาวิทยาลัยทั่วไปเสมอไป    แต่ที่ใดก็ได้ที่มนุษย์สามารถสื่อสาร  สนทนาปราศรัยให้ความรู้แก่กันได้โดยไม่ต้องยึดติดอยู่กับรูปแบบ  หรือจะกล่าวว่า  เรียนรู้กันได้ในทุกรูปแบบตามที่มนุษย์ถนัด  ดังนั้นตัวตนของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจะอยู่ในวัดก็ได้  ในโบสถ์ก็ได้  ในมัสยิดก็ได้  ในสโมสรต่าง ๆ  ก็ได้  ในรีสอร์ทก็ได้  ในสนามกอล์ฟก็ได้  ในโรงแรมก็ได้  ในอาคารสำนักงานก็ได้  ในศาลาประชาคมก็ได้  ในทุ่งนาก็ได้  หรือในป่าก็ได้  ถ้าหากสถานที่แห่งนั้นมนุษย์สามารถถ่ายทอด  แบ่งปันความรู้ให้แก่กันได้  การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวเคยมีการปฏิบัติเช่นนี้ในประเทศเยอรมันนีและหลาย ๆ ประเทศในยุโรป  และแน่นอนว่าการให้ความรู้แก่กันในโลกออนไลน์และคลื่นวิทยุ  โทรทัศน์ก็จะค่อย ๆ ปรากฎขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเข้มแข็งดังนั้นจะเห็นได้ว่า  มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  ได้จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรให้แก่บุคคลที่มีคุณค่าแห่งชีวิตด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น  ทั้งด้านการศึกษา  การประกอบอาชีพ  และการสร้างประโยชน์แก่สังคม  ซึ่งถือว่าเป็นโครงการนำร่องที่ได้เริ่มต้นและได้รับการตอบรับจากสังคมในทุกระดับเป็นอย่างดี  เพราะว่ามีบุคคลชั้นนำทางสังคมที่มีชื่อเสียงในทางทีดี  มีผลงานที่เป็นที่ยอมรับของสังคม  มีพฤติกรรมที่สังคมรู้จักและให้ความเชื่อถือ  ทั้งนายทหารระดับสูง  นายตำรวจระดับสูง  นักวิชาการ  นักธุรกิจ  นักการเมือง  นักสังคมสงเคราะห์  นักร้องและนักแสดงที่มีชื่อเสียง  นักกฎหมาย  ทั้งผู้พิพากษา  ทนายความ  และพนักงานสอบสวน  นักบริหาร  แพทย์  ข้าราชการ  และประชาชนทั่วไป  ที่สร้างคุณความดีที่สังคมรู้จักและให้การยอมรับ  พระเถระชั้นผู้ใหญ่  ผู้นำศาสนาทั้งคริสต์และอิสลาม  รวมทั้งชาวต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน  ซึ่งบุคคลในสถานะต่าง ๆ  ดังกล่าวมานั้น  ล้วนแล้วแต่มีความภาคภูมิใจและยอมรับในเกียรติประวัติที่ได้รับการยกย่อง  โดยการมอบปริญญาบัตร                   ( กิตติมศักดิ์ )  ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกทั้งสิ้น  โดยมิได้มีข้อสงสัยหรือข้อเรียกร้องใด ๆ  ว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลกนั้นจะต้องอยู่ในรูปแบบใด  เพียงแต่ท่านเหล่านั้นยอมรับว่า  ชื่อเสียง  เกียรติคุณ  และผลงานที่เป็นเหตุผลในการมอบปริญญาบัตร    ( กิตติมศักดิ์ )  นั้น  เป็นความจริงที่มิได้ขัดแย้งต่อความรู้สึกที่ถูกต้องต่อสังคมโดยรวม  และถือเป็นความกล้าหาญที่ยอมรับและเผชิญความจริงที่กำลังเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกแห่งมนุษยชาติ
และผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งเป็น  ประธานคณะกรรมการบริหาร  และนายกสภามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  คือ  ศาสตราภิชาน  ดร.เรวัตร  ชาตรีวิศิษฐ์  ถือเป็นนักวิชาการโดยอาชีพและเป็นนักบริหารทั้งสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา  และองค์กรของรัฐ  เป็นนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และศาสนาสากล  พร้อมด้วยการบริหารจัดการ  ซึ่งเป็นผู้ประสาทวิชาให้แก่ข้าราชการที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของประเทศ  ทั้งข้าราชการพลเรือน  ทหาร  ตำรวจ  และนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วไป  ซึ่งมีประสบการณ์ในการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยมายาวนานกว่า  30  ปี  ซึ่งถือว่ามีความแตกฉานและลึกซึ้ง  ต่อมุมมองของการสร้างสันติภาพในรูปแบบของ  มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  เป็นผู้ที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อการสร้างเครือข่ายในหมู่นักวิชาการ  นักบริหารการศึกษา  นักวิจัย  นักการศาสนา  นักการเมืองและข้าราชการระดับสูง  เป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมาตรฐานและภาพลักษณ์ตลอดจน  เป็นผู้สนับสนุนเหตุผล  และการขับเคลื่อนของมหาวิทยาลัยนอกกรอบที่มิให้เกิดความขัดแย้งกับการบริหารจัดการของสถาบันการศึกษาที่เรียกว่า  มหาวิทยาลัยในระบบ  และเป็นผู้สร้างทฤษฎีใหม่ในรูปแบบของเหรียญ  3  ด้าน  และเป็นผู้ที่ทุ่มเทศึกษาหลักสูตรหลังปริญญาเอก       ( Post  Doctoral  Degree )  จนสำเร็จ  และเป็นนักวิชาการและนักบริหารของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกที่ช่วยให้บัณฑิต  มหาบัณฑิต  ดุษฎีบัณฑิต ( กิตติมศักดิ์ )  ของมหาวิทยาลัยทุกคน  เกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจได้ว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  มีศาสตารจารย์ที่เป็นนักวิชาการจริง ๆ  อีกท่านหนึ่ง  ซึ่งสามารถรับรองปริญญาบัตรทุกใบร่วมกันกับอธิการบดีผู้ก่อตั้งได้โดยไม่ทำให้ปริญญาบัตรทุกใบต้องกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าอย่างแน่นอน
และศาสตราจารย์กิตติคุณ  ดร.ศุภณัฐ  ดอนจันทร์  ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์และปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์  โดยคณะนักวิชาการผู้ร่วมก่อตั้งในนามของสภามหาวิทยาลัยโลกและได้รับการสถาปนาเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณ ( Emeritus Professor )  โดย  World  Peace  Acadamy  Cyber  World  University  แห่งประเทศปากีสถาน ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐบาลของประเทศปากีสถาน  เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการบริหาร  เป็นประธานกรรมการตรวจสอบจริยธรรมคุณธรรมของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  ทุกสาขาทั่วโลก  เป็นอธิการบดีและเป็นนายทะเบียนของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ( WPU 2 ) 
- เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการบริหารองค์การพัฒนาระหว่างประเทศด้านการสงเคราะห์และการพัฒนาเด็กและชุมชน , การป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ เป็นระยะเวลา  10  ปี 
- เป็นนักบริหารโรงงานอุตสาหกรรม  และเป็นผู้ประกอบการธุรกิจรักษาความปลอดภัย และเป็นกรรมการบริหารสมาคมรักษาความปลอดภัย  แห่งภาคพื้นเอเซีย ( APSA )  เป็นระยะเวลานาน  20  ปี 
- เป็นนักจัดรายการวิทยุกระจายเสียงด้านสังคมและบันเทิงทั้ง  AM  และ  FM  กว่า  30  สถานีทั่วประเทศ  โดยใช้นามปากกาว่า ดอน  แดนสวรรค์ โดยได้รับรางวัลพระราชทานเทพทอง  ประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง  ได้รับรางวัลพระราชทานนักจัดรายการวิทยุกระจายเสียงดีเด่น  ผู้ใช้ภาษาไทยได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง  โดยเป็นผู้ประกอบการด้านการผลิตรายการวิทยุกระจายสียง  เป็นระยะเวลานานถึง  16  ปี  มีเอกลักษณ์จำเพาะการจัดรายการพูดภาษาถิ่นไทยทั้ง  4  ภาค
- เป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์  ในรายการด้านส่งเสริมและพัฒนาสังคมทาง UBC , Nation Channel , Thai TV , รายการก้าวทันประเทศไทยวันนี้ ( UBC ) , รายการข้อเท็จจริงวันนี้ ( UBC ) , รายการคนดีมีสาระ ( Nation Channel ) , รายการนัดพบคนดี  ( TTV ) , รายการทหารของแผ่นดิน ( TTV3 ) , รายการผู้พิทักษ์สันติราษฏ์ ( TTV3 ) , รายการอุตสาหกรรมนำความเจริญ ( TTV3 ) , รายการสู้เพื่อบ้านเมือง ( 13 สยามไทย ) , รายการบ้านเกิดเมืองนอน ( 13 สยามไทย ) , รายการค้นข่าวมาคุย ( 13 สยามไทย ) , รายการคนรักแผ่นดิน ( ไททีวี ) , โดยดำเนินรายการโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องกว่า  10  ปีและได้สัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ที่มีเรื่องราวดี ๆ  ตั้งแต่ระดับบุคคลธรรมดาไปจนถึงระดับนายกรัฐมนตรีรวมกันทั้งสิ้น กว่า 1,300 คน ( ซึ่งสามารถค้นหาดู  Video  ของรายการต่าง ๆ บางส่วนได้ทาง  Youtube  เพียงแค่พิมพ์  ดอน  แดนสวรรค์  และตามไปด้วยชื่อรายการก็จะสามารถเห็นได้  เป็นผู้ประกอบการผลิตรายการโทรทัศน์เป็นเวลานาน  10 ปี
- ได้รับรางวัลพระราชทานเทพทอง  สาขาบุคคลดีเด่นด้านวิทยุโทรทัศน์
- เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเครือข่ายระหว่างประเทศ  ในตำแหน่งสูงสุดของโลก  และได้รับการประกาศเกียรติศักดิ์ไปทั่วโลก  ของ  บริษัท  ติฮิเตียนโนนี่  อินเตอร์เนชั่นแนล (โมรินด้า )  จำกัด  ของสหรัฐอเมริกาที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก  และได้รับรางวัลนักขายตรงดีเด่นของสมาคมขายตรงไทย ( TDSA )  และเป็นผู้นำทางธุรกิจเครือข่ายที่มีผลงานในการร่วมบุกเบิกธุรกิจเครือข่ายระหว่างประเทศของประเทศสหรัฐอเมริกาหลายบริษัท ฯ  ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
- เป็นประธานอำนวยการจัดงานเปิดตัวโครงการ Hope  for  Children ( ความหวังเพื่อเด็ก )  โดยสร้างผืนผ้าใบที่มีตราสัญลักษณ์  Hope  for  Children  และมีตราธงชาติของ 133 ประเทศ  ลงบนผืนผ้าใบขนาด  60,000  ตารางเมตร ( กว้าง  50  เมตร ยาว  1,200  เมตร ) ติดตั้งลงบนพื้นรันเวย์ของสนามบินสิริภาจุฑาภร  ต.ห้วยแห้ง  อ.แก่งคอย  จ.สระบุรี  โดยมีพีธีเปิดอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผู้เข้าร่วมที่เป็นคนไทยและชาวต่าวชาติมาร่วมงานประมาณ 6,000 คน ( ถือว่าเป็นผืนผ้าใบที่ใหญ่ที่สุดของโลก )  และต่อมาได้มีการจัดตั้งมูลนิธิศรัทธา โดยทำหน้าที่เป็นประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิศรัทธา  ซึ่งทำพันธกิจเพื่อมนุษย์ชาติทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 
- เป็นประธานอำนวยการและเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การจัดงานประกวดนางงามท่องเที่ยวไทย   ( Miss  Tourism  Thailand  2012 )  เป็นครั้งแรกของประเทศไทยและครั้งแรกในภูมิภาคเอเซีย  โดยได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากองค์การท่องเที่ยวโลกแห่งสหราชอาณาจักร ( Tourism  World  Oganisation  of  Great  Britain )  เมื่อวันที่  19  ตุลาคม พ.ศ. 2555  ซึ่งมีสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7  ทำการถ่ายทอดการประกวด
- เป็นประธานอำนวยการจัดงานและเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ ( Official  Host )  ในการจัดงานประกวดนางงามท่องเที่ยวโลก ( Miss  Tourism  World  2012 )  เป็นครั้งแรกของทวีปเอเซีย และจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย  เพื่อร่วมเทอดพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  โดยการนำตัวแทนสาวงามจาก 60 ประเทศ สวมชุดไทยจักรี เช้าร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรบนเวที  ณ  มณฑลพิธีท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่  5  ธันวาคม  พ.ศ. 2555  พร้อมกับประชาชนนับล้านคนเป็นครั้งแรกแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย  ด้วยการนำตัวแทนสาวงามเหล่านั้นจาก  60  ประเทศ  ร่วมถวายพระพรองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นเดียวกัน  และคืนวันที่  16  ธันวาคม  พ.ศ. 2555  เป็นการจัดงานประกวดนางงามท่องเที่ยวโลก ( Miss  Tourism  World  2012 )  รอบตัดสิน ณ โรงละครสยามนิรมิตร  ห้วยขว้าง  โดยทำหน้าที่เป็นประธานอำนวยการจัดงานและเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ  พร้อมด้วยเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  ผ่านการถ่ายทอดสดไปยังประเทศต่าง ๆ ทุกทวีปทั่วโลก  ส่งสัญญานผ่านดาวเทียม  3  ดวง  โดยการสื่อสารแห่งประเทศไทยร่วมกับสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 สี www.MissTourismWorld.com , Google / Miss  Tourism  World  2012  และปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่งเป็น  Thailand  National  Director  และ  Advisor  ประจำภูมิภาคเอเซียของ  Tourism  World  Oganisation  แห่งประเทศอังกฤษ
- เป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ คิดเป็นเห็นโอกาส ”  กำลังจัดพิมพ์เป็นครั้งที่  3  โดยได้รับเกียรติเขียนคำนิยมจาก  อดีตนายกรัฐมนตรี พณ ฯ  ชวน  หลีกภัย  จำหน่ายที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ค
- เป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ รอดชีวิตด้วยธุรกิจที่ไม่เคยคิดมาก่อน ”  กำลังจัดพิมพ์เป็นครั้งที่  2  โดยได้รับเกียรติเขียนคำนิยมโดยบุคคลชั้นนำของประเทศจำนวน  20  คน  จำหน่ายที่ซีเอ็ดบุ๊ค
- เป็นผู้เขียนหลักสูตรโรงเรียนศาสตร์แห่งศิลปิน  ดามพ์  เผด็จดัสกร  ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนการแสดงแห่งแรกและแห่งเดียวที่ได้รับอนุมัติหลักสูตรจากกระทรวงศึกษาธิการ โดย  หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม  ยุคล  เป็นผู้ประทานนาม
- เป็นผู้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรม การเป็นนักจักรายการวิทยุมืออาชีพ ”  พร้อมด้วยการเป็นวิทยากรหลัก  เพื่อช่วยให้ผู้สนใจสามารถได้เรียนรู้ด้วยวิธีง่าย ๆ  และใช้เวลาช่วงสั้น ๆ
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเครือข่ายระหว่างประเทศและเป็นวิทยากรผู้บรรยายทั้งในและต่างประเทศและเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดของธุรกิจเครือข่ายระหว่างประเทศให้กับบริษัทต่างชาติ
- เป็นวิทยากรบรรยายด้านการพัฒนาสังคม
- เป็นนักเขียนอิสระ
- เป็นนักพูดและนักฝึกอบรมด้านการสร้างแรงบันดาลใจ
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานองค์การพัฒนาระหว่างประเทศ ( International  NGOs )
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานรักษาความปลอดภัย
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดงาน  Events  ทั้งระดับประเทศและระดับโลก
- เป็นผู้ประกอบการด้านการผลิตรายการวิทยุ  และโทรทัศน์ในฐานะสื่อมวลชนมืออาชีพ
- เป็นพิธีกรบนเวทีมืออาชีพ
- เป็นประธานผู้ก่อตั้ง  มูลนิธิศรัทธา
- เป็นผู้ที่ถูกนำประวัติส่วนตัวไปเขียนลงในนิตยสาร “ The  Obtainer ”  ของยุโรปซึ่งถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกโดยมีภาพอยู่หน้าปกภายใต้หัวข้อ  SUPANUT  DONCHAN  FROM  ZERO  TO  HERO
- เป็นประธานกรรมการบริษัท  มีเดีย  เอ็มไพร์  จำกัด ( Media  Empire  Co.,Ltd )  เป็นผู้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ , วิทยุ , โทรทัศน์ , และจัดงานประกวดต่าง ๆ
- เป็นประธานกรรมการบริษัท  เกร้ท  ออนเนอร์  อินเตอร์เนชั่นแนล  จำกัด ( Great  Honnor  International Co.,Ltd )  เป็นผู้บริหารลิขสิทธิ์ธุรกิจระหว่างประเทศ
- เป็นประธานกรรมการบริษัท  ด็อกเตอร์  เฮิร์บ  อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ( Doctor  Herb  International  Co.,Ltd )  ผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารเสริมจากสมุนไพร
- เป็นประธานกรรมการบริษัท ไฮเปอร์มาร์ท  ออน  แอร์  อินเตอร์เนชั่นแนล  จำกัด          ( Hypermart  On  Air  International  Co.,Ltd )  เป็นการจำหน่ายสินค้าด้านพลังงานผ่านสื่อวิทยุโทรทัศน์
ดังนั้นการทำหน้าที่ในฐานะ  อธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ( WPU2 )  และนายทะเบียนของมหาวิทยาลัย  ด้วยประสบการณ์ชีวิตบางส่วนที่กล่าวมา จึงทำให้การกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนพันธกิจของมหาวิทยาลัย  มีจุดมุ่งหมายไปยังกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสในทางสังคมไปสู่บุคคลที่มีชื่อเสียงด้วยคุณความดีทั้งที่เป็นข้าราชการ , นักการเมือง , นักธุรกิจ , ผู้นำศาสนา , ผู้ทำงานเพื่อสังคม  โดยการวางแผนกำหนดกิจกรรมอันสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้สร้างเครือข่ายดุษฏีบัณฑิต ( Hon.Ph.D.  Peace  Maker  Network ) ให้มีความเข้มแข็งเพื่อเป็นกำลังสำคัญอันเป็นคลังสมองของชาติจากปรัญญาชีวิต ( หรือดุษฏีแห่งชีวิต )  โดยการพัฒนาขยายแนวคิดและกลุ่มผู้สร้างเครือข่ายสู่สังคมในระดับชาติ  ระดับภูมิภาคอาเซียน ( AEC )  และมุ่งพัฒนา  เครือข่ายดุษฏีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกให้เติบโตเข้มแข็งเพื่อร่วมสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่ชาวโลกร่วมกับองค์กรแห่งอาเซียนและองค์กรแห่งสหประชาชาติ            ( United  Nation )  ด้วยการ เสาะหาคนดี  ทั่วทุกถิ่นที่ ไม่เลือกประเทศ  ไม่แบ่งศาสนา  ใช้ความเมตตา  พัฒนาสร้างสรรค์  ส่งเสริมสถาบันสันติภาพโลก ให้เป็นหนึ่งเดียว  และในปัจจุบันมีเครือข่ายของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกอยู่ที่  กัวลาลัมเปอร์  และกำลังเตรียมเปิดอีกหลายพื้นที่ในประเทศมาเลเซีย , เมืองฮุสตัน  รัฐเท็กซัส  ประเทศสหรัฐอเมริกา , ดูไบ  สหรัฐอาหรับเอมิเรต ( UAE ) , โตเกียว  ประเทศญี่ปุ่น  และเตรียมเปิดที่  ไทเป , อินโดนีเซีย , อินเดีย , ปากีสถาน  และอีกหลายประเทศจนกว่าจะครอบคลุมทั่วทุกทวีปทั่วโลก
- ประธานผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
คือ  พลเอก  ศ. ( เกียรติคุณ )  ดร.กิตติ  รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่ 4
- รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
คือ  พล.ต.อ.  ศ. ( เกียรติคุณ )  ดร.สุนทร  ซ้ายขวัญ
- รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
คือ  ศ. ( เกียรติคุณ )  ดร.สมบัติ  เมทะนี
- ประธานผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
คือ  ศาสตราภิชาน  ดร.  นพ.วิจิตร  บุณยะโหตระ
- รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายวิชาการ
คือ  ศาสตราภิชาน  ดร.เกรียงศักดิ์  เจริญวงศ์ศักดิ์
- รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายวิชาการเครือข่ายสถาบันศึกษา
คือ  ศ. ( เกียรติคุณ )  ดร.มานพ  ภาษิตวิไลธรรม
- ประธานสภาคณาจารย์และประธานสภาวิชาการ
คือ ศาสตราภิชาน ดร.เอนก หิรัญรักษ์