เพียงแค่เห็นชื่อที่ใช้คำว่า
“มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก” ก็ดูค่อนข้างจะแปลกและสะดุดใจเล็กน้อยเพราะคำว่า สันติภาพโลก
ทำให้เกิดแง่ความคิดไปได้ในหลายแง่มุมว่า...เป็นเรื่องของการประกาศศาสนาบางศาสนาหรือเปล่า
หรือเป็นเรื่องของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสันติภาพใด ๆ หรือเปล่า
หรือเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมใด ๆ ทางสังคมใด ๆ
หรือเปล่า...ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถคิดไปกันได้
แต่สำหรับ
“มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก” นั้นเป็นเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นนักวิชาการที่ใช้เวลาในการทุ่มเทและต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนานับประมาณนานกว่า
30 ปี
เพื่อต้องการปลดปล่อยโซ่ตรวนหรือความมีอคติทางความคิดด้านการพัฒนาการของมนุษย์ให้มีอิสระโดยแท้จริงที่สามารถนำพาให้มนุษย์อยู่ร่วมสังคมได้อย่างสันติ
และมีสิทธิทางปัญญาที่สังคมสามารถให้การยอมรับในคุณค่าแห่งความดีอันเนื่องจากประสบการณ์ชีวิตที่มีการปฏิบัติได้จริง
ผ่านพ้นความผิดพลาดและความถูกต้องด้วยความยากลำบาก
จนกระทั่งชีวิตสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างสง่างาม
และมีผู้ตามที่นำหลักความคิดการปฏิบัติไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว
ต่อองค์กรและสังคมตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนสู่สังคมระดับชาติและสามารถก้าวไปสู่ในระดับโลกได้นั่นคือ
“เจตนารมณ์ส่วนหนึ่ง” ของแนวคิดในการสถาปนามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ซึ่งผู้ก่อตั้งเป็นเจ้าของชื่อและตราเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย
รวมทั้งรูปแบบของชุดเสื้อครุย คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สวัสดิ์ บันเทิงสุข
อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 30 ปี และอดีตประธานสภาอาจารย์ 2 สมัย
แนวความคิดและการปฏิบัติของมหาวิทยาลัยจึงต้องการเปิดโลกแห่งความคิดให้สังคมมองเห็นถึงอิสระแห่งการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง
ๆ ทั้งที่เป็นรูปแบบของมหาวิทยาลัยในกรอบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและรูปแบบของมหาวิทยาลัยนอกกรอบ
คำว่า “มหาวิทยาลัยนอกกรอบ” ก็ไปเป็นคู่มิตรบางประเด็นกับ “มหาวิทยาลัยนอกระบบ”
ที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยหลายแห่งที่ปรารถนาและพยายามที่จะเป็นกัน
และความพยายามที่จะเป็นนั่นแหละ...จึงกลายเป็นความรู้สึกที่สังคมพอจะเริ่มสัมผัสและพอจะมองเห็นความเด่นชัดขึ้นมาบ้างว่า...
แท้ที่จริงแล้วมหาวิทยาลัยเหล่านั้น...ไม่ต้องการถูกควบคุมแนวความคิดไปทางก้าวหน้า
ไม่ต้องการถูกควบคุมแนวความคิดในการดำเนินกิจการหรือแนวทางด้านการตลาดของมหาวิทยาลัย
และเห็นอย่างเด่นชัดก็คือในปัจจุบันนั้นมหาวิทยาลัยเอกชนได้แข่งขันในการดำเนินธุรกิจด้านการศึกษาอย่างมากมายและมหาวิทยาลัยของเอกชนจำนวนไม่น้อยก็สร้างคุณภาพด้านวิชาการได้ไม่ด้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐอีกหลายแห่ง
มหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่งก็ อาจจะถึงขั้น
ด้วยการพัฒนาไปกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนอีกหลายแห่ง เพราะถูกควบคุม ถูกครอบงำ
ถูกกีดกัน
ถูกฝังความคิดและความจำให้ซ้ำซากจนกลายเป็นความเชื่องช้าและล้าหลังจนกระทั่งต้องเกิดการตื่นตัว
หลับหูหลับตาขยายสาขาวิชาการต่าง ๆ อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงพอจะมองเห็นว่าเดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยของรัฐที่คณะผู้บริหารหัวใส
เข้าใจใช้ความเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐและใช้เงินที่เป็นรายได้ก้อนใหญ่จากผู้ใฝ่หาปริญญารายย่อยจนเกิดภาควิชา
“ไร้สาระ” ที่ทำให้คนเป็นบัณฑิต มหาบัณฑิต ด๊อกเตอร์ต๊อกต๋อย
มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ
แต่ก็มีมหาวิทยาลัยเอกชนจำนวนไม่น้อยที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเพื่อมุ่งหารายได้เป็นหลัก
ส่วนคุณภาพยังเป็นขยุกขยิกเป็นรอง แต่ก็ยังคงดันทุรังไปได้เพราะเงินถึงและสามารถอยู่ได้ในกรอบของการถูกควบคุมโดยองค์กรที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัยแบบเอาหูไปนา
เอาตาไปไร่ ดังที่เห็นกันอยู่มากมายในปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมุ่งเน้นในการสร้างเครือข่ายของคนที่มีมูลค่าของชีวิตที่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
แต่ยังไม่มีองค์กรใด ๆ
ทางด้านการศึกษาได้ทำการสถาปนาประสบการณ์ชีวิตของบุคคลเหล่านั้นว่า
“เขามีคุณค่า...เขาสมควร...เขาเดินทางถูกต้องแล้ว...เขาทำดีอยู่แล้ว...เขาสมควรทำต่อไป”
ดังนั้นถ้าไม่มีองค์กรใด ๆ มองเห็นคุณค่าและสถาปนาที่เขาปฏิบัติอยู่แล้ว
เป็นอยู่แล้ว เขาเหล่านั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่สำควรจะมุ่งมั่นกระทำต่อไป
ด้วยการถ่ายทอดวิชาและประสบการณ์ชีวิตที่เอาตัวให้รอด นำพาครอบครัวให้ไปได้
ช่วยเหลือสังคมให้ดีขึ้น มันอาจจะจบสิ้นลงไปพร้อมกับการจบชีวิตของผู้อื่นนั้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงเป็นองค์กรที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยการต่อสู่ฟันฝ่าอุปสรรคทุกรูปแบบเพื่อองค์กรทางสังคมที่จะสถาปนาส่งเสริม
สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ “ปราชญ์และอัจฉริยะบุคคลธรรมชาติ”
ที่เป็นทรัพยากรบุคคลทางวิชาการด้านทฤษฎีปฏิบัติโดยแท้จริง
สังคมจะอยู่รอดได้ด้วยการขับเคลื่อนโดยทฤษฎีแห่งการปฏิบัติ
และเขาเหล่านั้นสามารถมองเห็นคุณค่าแห่งประสบการณ์ชีวิตของตนและสามารถใช้ประสบการณ์ชีวิตสอนคนรุ่นต่อไปได้
อย่างน่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น