วิสัยทัศน์และมุมมองที่แตกต่างระหว่าง
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก กับ
นายเสกสรรค์ ประเสริฐ แห่งสำนักเบาะแส
เรื่องของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเป็นเรื่องมุมมองและวิสัยทัศน์ด้านการส่งเสริมคุณค่าของบุคคล
ที่ไม่จำเป็นต้องให้สังคมหลงยกย่องและยอมรับว่า....ผู้ที่มีคุณค่าแห่งความเป็นคนและผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รู้นั้น....ไม่จำเป็นที่จะต้องมีตราหรือยี่ห้อของมหาวิทยาลัยในระบบ
มาคอยเป็นกรอบครอบความคิดปิดหูปิดตาคนดั่งเช่นในอดีตเสมอไป
เหตุใดนักปราชญ์, นักปรัชญา, นักพัฒนาสังคม, นักธุรกิจ,
นักสร้างสรรค์ผลงานตามแขนงด้านต่างๆ เขาเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
เขาใช้เวลาแห่งชีวิตในการฝึกฝนพัฒนาตนเองเป็นเวลาที่ยาวนาน แม้กระทั่งบุคคลที่เป็นครูอาจารย์ที่ทำงานมานานนับหลายสิบปี
ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนแต่ละแขนงย่อมไม่เหมือนกัน
เราคงจะมองเห็นภาพของผู้นำทางศาสนา ผู้ทำงานเพื่อสังคม ผู้ทำธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ
หรือผู้ประกอบอาชีพที่สุจริต และสร้างคุณประโยชน์แก่สังคมมากมาย คนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยมาเลย
แต่กลับมีผลงานที่น่าทึ่ง ดังนั้น คำว่า “มหาวิทยาลัย”
ในอดีตที่ผ่านมาเป็นที่เข้าใจว่าเป็นแหล่งฝึกฝน
อบรมสั่งสอนคนเพื่อที่ให้ผู้ซึ่งเรียนหรือสอบผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้ใบปริญญาบัตร
เป็นมาตราฐานในการออกไปทำงานในสังคมทั้งทางภาครัฐและเอกชน
ในรูปแบบของมหาวิทยาลัยในระบบ
เขาก็ดำเนินงานทำหน้าที่ของเขาไปและมหาวิทยาลัยในระบบ ก็ไม่เคยไปก้าวก่าย
วิธีการเสริมสร้างคุณค่าหรือสถาปนาความรู้ของบุคคลที่อยู่นอกกรอบของมหาวิทยาลัย
เพราะเมื่อมีศาสตร์ใดๆที่เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มคน
ผลสุดท้ายมหาวิทยาลัยอาจจะนำศาสตร์เหล่านั้นไปพัฒนาเพิ่มเติมเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยและให้ปริญญาแก่เขาก็เป็นได้
“มหาวิทยาลัยในระบบ”
จึงมีครูบาอาจารย์ที่มีความคิดที่หลากหลาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ของนักวิชาการที่มีมุมมองที่แตกต่าง
ดังนั้น ในกรณีของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงเกิดจาก
มุมมองของครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในการสอนการเป็นการอยู่ นับหลายสิบปี
อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 ปี บางท่านก็ 30 ปี
แน่นอนว่า.....ผู้มีประสบการณ์ด้านวิชาการ
มานาน และได้มองเห็นสัจธรรมในหลายประการของความเป็นครูอาจารย์และรู้อยู่ว่า
สิ่งนั้นคืออะไร......ปัญหาคืออะไร ปัญหาบางอย่างก็แก้ได้ทันที
ปัญหาบางอย่างก็ต้องใช้เวลา
ดังนั้นในความกล้าหาญของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกคือ...การสถาปนาคุณค่าของคนที่เขามีประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า
เขาสถาปนาวันเวลาของคนที่ดีมีความสามารถ เพื่อให้เขาเหล่านั้น มีความมั่นใจ
เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง เพื่อให้มีความรู้แตกฉาน
มากยิ่งขึ้นและสามารถสั่งสอน ถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่นๆ ต่างๆกันไป ดังนั้นผู้รู้
ผู้เป็น ที่ถูกระบบของมหาวิทยาลัยในระบบ..... ปกปิดเรื่องราว แห่งคุณค่า และความดี
ของเขาเหล่านั้นไว้ ยากนักที่เรื่องราวของเขาเหล่านั้นจะถูกนำเสนอตามกระบวนการของมหาวิทยาลัยเพื่อจะให้ได้รับการพิจารณา”ปริญญากิตติมศักดิ์”
เพราะถูกกีดกันด้วย ระบบเงินตรา....ระบบปิดหูปิดตา ระบบพวกพ้อง...ระบบผลประโยชน์
อีกสารพัดระบบ....จึงทำให้บทสรุปโดยส่วนใหญ่ของผู้ที่สมควรจะได้รับกำลังใจและการเสริมสร้างคุณค่าคือ
“ปริมาณเงิน” ที่ก้อนใหญ่ ที่เศรษฐีเท่านั้นถึงจะสามารถจ่ายได้
เพราะ...หลายล้าน ถึงเกินกว่าสิบล้าน....เกือบยี่สิบล้านก็มี แล้วคนดีมีความสามารถ
มีประสบการณ์ที่มีคุณค่า มีผลงานที่ดีและเป็นประโยชน์ แต่ขาดปัจจัย ไม่มีเงินถุงเงินถังดั่งเศรษฐี
ใจถึงล่ะ เขาจะทำอย่างไร เขาไม่มีสิทธิเพราะไม่มีเงินจ่ายให้ได้ดั่งใจกรรมการ
ในปัจจุบันสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าในเรื่องคุณภาพของคน ได้มีการพัฒนาขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
การเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การค้นคว้าหาคำตอบในเนื้อหาสาระต่างๆ
จึงสามารถค้นคว้าหาได้ทางสื่อสาระสนเทศน์ และโลกไซเบอร์ ( Cyber World )
การหาญกล้าดำเนินงานของมหาวิทยาแห่งอุดมคติ
มหาวิทยาลัยในมิติที่ควรจะเป็นอีกแนวทางของคนคิดต่าง แต่มิได้มุ่งร้าย ทำลายใคร
แต่กลับให้คุณค่าแก่คน ทั้งขวัญและกำลังใจ
พร้อมด้วยความเห็นที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อให้สังคมได้มองภาพโดย
รวมอย่างมีใจเปิดกว้างและเป็นเหตุ เป็นผลมากยิ่งขึ้น
การมอบปริญญาบัตรอันเป็นการยกย่อง
เชิดชูเกียรติ ของบุคคลด้วย “ปริญญากิตติมศักดิ์”
จึงเป็นสิทธิ์เสรีภาพของนักวิชาการที่เป็นนักวิชาการจริงๆ “ปริญญากิตติมศักดิ์” เป็นปริญญาบัตรที่ไม่ต้องเรียน.........ถือว่าประสบการชีวิตที่ผ่านมาคือการเรียนโดยปฏิบัติจริง......แม้กระทั่งตำแหน่งทางวิชาการก็ต้องระบุว่า
“กิตติมศักดิ์ (HONORARY)” สิ่งนี้ไม่มีกฏหมายห้าม.....โดยเฉพาะเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของสังคม....และเป็นสิ่งที่สังคมยังเปิดช่องว่างให้กระทำได้และมิได้มีผลร้ายต่อสังคมแต่ประการใด
เพราะมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ให้ปริญญา ปรัชญาดุษฏีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์)
สาขาสันติภาพโลก (WORLD PEACE) ด้านใดก็เป็นไปตามความถนัด
มิได้ให้ปริญญากิตติมศักดิ์ที่ต้องอาศัยมาตราฐานแห่งความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น
ด้านการแพทย์, เภสัช, วิศวกรรม, วิทยาศาสตร์ , คณิตศาสตร์, กฏหมาย,
หรือแม้กระทั่งอักษรศาสตร์ หรือ ด้านสถาปัตยกรรม หรือ ศาสนศาสตร์........
เป็นสาขาสันติภาพ
(WORLD PEACE) จึงมีความชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า.....เป็นเรื่องของสันติภาพสันติภาพที่เกิดจากการได้รับโอกาส
การไม่ถูกกีดกัน การเข้าถึงคนดี คนมีความสามารถ คนที่ทำคุณประโยชน์ที่ไม่จำเป็นจะต้องยิ่งใหญ่
หรือโด่งดังเสมอไป
ดังนั้นพื้นฐานของการปลดล็อคทางความคิดของคนในสังคม
ในด้านการรับรองคุณค่าของคน เกียรติภูมิของคนจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่บนกฏเกณฑ์
กติกา หรือมาตราฐานที่จะเหมารวมไปเสียทุกสิ่ง ซึ่งมีข้อเท็จจริง
ปรากฏให้เห็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน
ผู้ที่มีความเข้าใจและยินดีและมีความสุขในการรับปริญญาบัตร
“ดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์” ของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จึง....มิใช่เป็นคนโง่....หรือถูกหลอก.....หรือไม่ฉลาด.....หรือเป็นคนจิตวิปริตแต่ประการใด
แต่เป็นผู้ที่มีจิตใจที่สูงส่งพอ และมีดวงตาในความคิดที่มองเห็นและเข้าใจ.....จึงยินดี.....โดยมิได้สนใจว่าใครจะมองอย่างไร
เพราะเขาเหล่านั้นรู้จักตัวตน และยอมรับ และมิได้สถาปนาตัวตน
ด้วยตนเองว่า.......เขาเป็นตามที่เขาคิด แต่มีคน.....มองเห็น
และชื่นชมยอมรับและเชื้อเชิญให้รับการสถาปนา.....และแน่นอนว่าการคัดเลือกบุคคลที่จะเชิญชวนนั้น
อาจจะมีความหละหลวมไปบ้าง
เนื่องจากระบบมาตราฐานการคัดกรองบุคคลมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางผู้บริหารของมหาวิทยาลัยจะต้องพัฒนาและปรับปรุงแก้ไข
และถือว่าเป็นสิ่งปกติธรรมดาของการเริ่มต้นสิ่งใหม่.....การขาดความสมบูรณ์จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ย่อมต้องมีความก้าวหน้าขึ้น
โดยลำดับเพื่อใปสู่จุดมุ่งหมายของการสร้างสันติภาพโดยแท้จริง
มุมมองและแนวคิดของนายเสกสรร
ประเสริฐ ผ.อ.เบาะแส จึงเป็นมุมมอง ของคนคนเดียว ที่อาศัยพื้นฐานของการพยายามโปรโมทตนเองด้วยการพัฒนาการใช้ถ้อยคำสื่อสารลงในสื่ออินเตอร์เน็ต
ให้ดูว่าตัวเองคือผู้กล้า....ผู้มีอำนาจและหน้าที่.....ตรวจสอบ...ลงพื้นที่จับ...ปราบ....สารพัดที่จะโม้คุยโว....แล้วก็ลงรูปอวดโฉม
แอ๊คชั่นในท่าต่างๆ โดยอาศัย ซีนของเหตุการณ์ที่เป็นอยู่แล้ว
มาจัดภาพและบรรยายให้ดูสมจริง ดุดัน....และนายเสกสรร ประเสริฐ ก็พยายามดันทุรังไปเรื่อยๆ.......ที่ผ่านมาพาลหลอกให้คนบางกลุ่มที่มีความรู้ตื้นๆ
และมีอารมณ์แห่งการปลุกเร้าเพียงง่ายๆ
เกิดเผลอเชื่อว่าเป็นทนายความบ้าง....อาจจะเป็นผู้มีอิทธิพลบ้าง....อาจจะเป็นผู้มีอำนาจจากบางหน่วยงานของรัฐบ้าง...และก็มีเรื่องเก่าๆที่มีคนรู้จริงว่า...บางอย่าง...บางเรื่อง....ยังคลุมเคลือ....แต่ก็เอามาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหากินได้จวบจนปัจจุบันแต่ก็ไม่โตนับวันแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ
การหากินก็แบบง่ายๆ
.....มีหนังสือที่พิมพ์ตามสภาพภูมิปัญญาเรียกว่า “เบาะแส”ซึ่งวงการสื่อไม่นับว่าเป็นสื่อ......ปริมาณนับจำนวนแค่ไม่กี่อึดใจ.....รูปร่างหน้าตาของหนังสือ...ก็อย่างว่า
แถม..พยายามหาสิ่งที่พอจะมี
เช่น ใบประกาศณียบัตร, เข็มชูเกียรติ, โต๊ะทำงาน...ของขลัง.....และรูปถ่าย....แบบถลึงตา
แล้วไว้หนวดเข้ม...เป็นภาพลักษณ์.....ประกอบกับพยายาม...ใช้บทความเป็นวิชาการ
ไทยปนอังกฤษ และยกตัวอย่าง...เชิงวิชาการต่างประเทศ....แล้วบางตอนก็ทำเป็นภาษาต่างประเทศปนเข้ามาด้วย
เพื่อให้ดูอินเตอร์ แล้วพยายามอ่านกฏหมายตามความรู้สึก มิใช่ตามคำนิยามของกฎหมายแล้วนำมาร่างเขียน...กล่าวหาว่า
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก .....เถื่อน.....ผู้บริหารฉ้อโกง.....หลอกลวงประชาชนสารพัด...แล้วกล่าวหาให้ร้ายโจมตีอย่างคนไม่ปกติ
(ผิดหวัง) เคียดแค้น โจมตีมหาวิทยาลัยชนิดที่ดูแล้ว
ไม่ค่อยเป็นอันกินอันนอนเท่าไหร่ และที่เห็นความพยายามเรียกร้องความเห็นใจ
ความเป็นผู้เสียสละ ปกป้องสังคม จนเผลอสรุปอย่างเป็นตุเป็นตะว่า
คนรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเป็นคนโง่บ้าง.....สารพัดข้อกล่าวหา....พฤติกรรมของนายเสกสรร
ประเสริฐ ถือว่า ผิดมารยาทของมนุษย์อย่างรุนแรงคือแย่ยิ่งกว่ามารยาทสังคม
นายเสกสรรค์ ประเสริฐ คิดว่าไม่มีใครทราบว่าพฤติกรรมการดำรงค์ชีพของตน
คนในวงการสื่อ มืออาชีพที่แท้จริงนั้น เขาดู เขาติดตาม และเขารู้อะไรเกี่ยวกับ
นายเสกสรร ประเสริฐ และคณะหนังสือพิมพ์ “เบาะแส” นายเสกสรรค์
ได้ละเมิดสิทธ์ของผู้อื่นอย่างไร้สามัญสำนึกของผู้ดี ถ้าใครทำผิดกฏหมายที่ตนคิดว่าเขาผิดและตนเป็นผู้เสียหายก็ต้องดำเนินคดีเขาตามกฏหมายให้ได้
แต่นายเสกสรรค์ ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล.....แจ้งความก็แล้ว, ร้องเรียนก็แล้ว,
สารพัดวิธีการ, ส่งเอกสารไปให้สื่อต่างๆ คิดว่าเขาเหล่านั้นจะเล่นด้วย.....แต่ไม่มีใครเอาด้วยเพราะโนเนม
ไร้สาระไร้เดียงสา “เสกสรรค์ ประเสริฐ” จึงโพสต์ข้อความ + ภาพถ่ายส่วนบุคคล
ที่ไปแอบดึงภาพของเขาเหล่านั้นจาก เฟสบุ๊คมาแสดงเพื่อสื่อสารเชิงประจาน.....ให้สังคมเข้าใจไปตามที่ตนคิด
วันนี้น่าเสียดายคนที่ดีๆอย่างนายเสกสรรค์
ประเสริฐ ต้องถูกดำเนินคดี
จากผู้เสียหายจำนวนมาก ในหลายท้องที่ และไม่มีการยอมความ นายเสกสรรค์
ประเสริฐ
พยายามหากฏหมายมาลงขู่หรือปลอบใจตัวเอง ตามมาตราที่ตนเองคิดเอง
แต่ผิดอุทาหรณ์ เวลานี้ คุณเสกสรรค์
ประเสริฐ คงเข้าสู่ตอนชีวิตที่ทุกข์แบบไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อนเพราะเจอของจริงครับ
เพชร ปัญญาจารย์
ท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ตอบลบโปรดติดต่อ ศรีไพร ประสาทสงค์ โทรศัพท์ 089-090-0376