เสฃสัณฑ์ ปะเสิด กับจุดจบ...บนเส้นทางข่าวสีเทา
น่าเห็นใจ ชายไทยผู้มักใหญ่ใฝ่สูงผู้เลอเลิศไปด้วยเรื่องราวที่เป็นที่รู้กันว่ามิจฉาชีพในภาพสื่อจะต้องกลายเป็นผู้ต้องหา 5
คดี 9 จังหวัด…
เหตุใดผู้ที่พยายามสร้างภาพแห่งความเป็นคนดีดั่งเช่น
นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด ต้องร้อนรุ่มกลุ้มใจไปตัดพ้อต่อว่า ผู้สื่อข่าวอาชีพอันเนื่องจากการที่เขาไม่มาในงานแถลงข่าวของนายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด ที่จะแถลงข่าวเรื่องที่ตนแจ้งความเพราะนักข่าวเหล่านั้นเป็นนักข่าวมืออาชีพซึ่งต้นสังกัดของเขาดูดีมีสกุลรุนชาติ สื่อของเขานั้นคนสมัครเป็นสมาชิกและกล้าควักสตางค์ซื้อได้ด้วยความภาคภูมิใจ
เพราะรูปแบบและเนื้อหาในหนังสือพิมพ์หรือทีวีของเขาเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นมาในราคาของความเป็นคนดีที่มีอุดมการณ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น
หนังสือพิมพ์หรือ ผู้สื่อข่าวและรูปแบบของการทำงานของเขานักข่าวเหล่านั้นไม่เหมือนกับพวกโจรอำพราง “โจรก็คือโจร”
“นักข่าวก็คือนักข่าว” “ตำรวจก็คือตำรวจ”
แต่นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด เล่นบทเป็นโจรอำพรางบนเวทีลิเกอ้างตัวเป็นนักข่าว อ้างตัวให้ดูคลุมเครือเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอะไรทำนองนั้น
แต่เรื่องราวของชีวิตนั้นหาสาระอะไรไม่ได้
แถมยังอวดอ้างความกล้าหาญว่าถ้าพ่อของผมทำผิดผมก็จะจับพ่อ... อ้าว...แล้วคุณมีอาชีพอะไร ตำรวจก็ไม่ใช่
เป็นแค่หัวหน้า รปภ. บริษัท
เบาะเสื่อม แล้วจะไปจับใครจึงพยายามกล่าวอ้างถึงความเด็ดเดี๋ยว “ จับพ่อ ”
คนที่กระทำเช่นนี้ที่ปรากฏให้เห็นเป็นส่วนใหญ่มักจะเป็นพวก “ เมายาบ้า ”
เท่านั้นแหละครับ
แต่ก็เอาเถอะจะอย่างไรก็ช่างว่าแต่ว่าก่อนอื่น ท่านผอ.เบาะทรุด ต้องตอบต่อสังคมให้ได้เสียก่อนว่า คุณมีสิทธิอะไรที่พยายามอ้างว่าจะเอาเงินจากท่านอาจารย์สวัสดิ์ บันเทิงสุข
อธิการบดีผู้ก่อตั้ง
มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จำนวน 500,000
บาท ไปคืนให้กับผู้เสียหายทั้ง ๆ
ที่ไม่มีใครเป็นผู้สียหายแล้วทำไมอยากเป็นอธิการบดีเสียเอง จะเป็นอธิการบดีแทนอาจารย์สวัสดิ์ และจะมีคู่หูอ้วนเอ๋อเป็นนายทะเบียนใหญ่แทนนายศุภณัฐ
และจะเป็นผู้เฝ้าระวังของมหาวิทยาลัย (
ระวังภัยจากความคิดของตัวเองว่าจะอยู่กับบัณฑิตหรืออยู่กับโจรดี )
โดยสรุป...นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
ก็ติดกับดักในหลุมพรางของตนเองเข้าอย่างไม่มีวันดิ้นหลุดเข้าให้แล้ว บทบาทที่ชอบเสาะหาและกล่าวหาเหยื่อ โดยหาช่องว่างอ้างข้อหาแบบทนายในวงเหล้า แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เป็นนักกฎหมายเทียม.... ทุกอย่างที่อ้างว่าทำความดี สุดท้ายก็เพียงเพื่ออำพรางความผิดที่ตนสะสมไว้เท่านั้นเอง ความในทางคดีอาญานั้นการกระทำโดยเจตนา
ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่จะต้องรับโทษในทางอาญา คือการรู้สำนึกของการกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำย่อมประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น พฤติกรรมโดยเนื้อหาที่นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่กองปราบนั้น เป็นเรื่องที่ผิดไปจากความจริงเป็นการกล่าวหาเพียงเพื่อทำให้มหาวิทยาลัยและผู้ถูกกล่าวหาทั้ง
6 คน ให้ได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นความจริง ( ก็เท่ากับเป็นเท็จ ) และ นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
ก็มิได้เป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในเรื่องนี้ ( เป็นเพียงผู้ผิดหวังจากการกรรโชคทรัพย์ของอาจารย์สวัสดิ์ แล้วโดนจับได้ไล่ทันจึงโกรธแล้วรีบเฉไฉไปในแนวทางอื่นเพื่อให้คนหลงเชื่อ
) แต่ความจริงปรากฏว่าพวกที่หลงเชื่อก็เป็นพวกประเภทเดียวกัน คือวันทั้งวันไม่ต้องทำอะไรกิน อาชีพก็ไม่มีชัดเจนแต่ที่ชัดเจนคือ คอยเฝ้าจ้องหาเหยื่อ คอยทำลายเหยื่ออยู่ตามหน้าจอคอมพิวเตอร์ดังที่ได้เห็นกันอยู่ไม่เว้นวันไม่มีสิ่งใหม่ไม่มีเนื้อหาความรู้ในเนื้อหาบทสนทนาและการโฆษณาชวนเชื่อก็คือ จับแม่ชี
จับพระ...ทั้ง ๆ ที่ท่านเหล่านั้นเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังนำเรื่องราวมาโฆษณาหลอกหากินไปวัน ๆ ในสังคมของผู้ที่เจริญแล้ว ใครเขาจะยอมรับในพฤติกรรมของคนประเภทนี้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมนักข่าวอาชีพ เขาจึงไม่ให้ความร่วมมือ นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
แล้วยังไปตีโพยตีพายต่อว่าเขาอีก
ก็ในมือคนทั่วไปยังไม่รู้จักเลยว่า ตัว นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
คือใครแล้วมีวิธีคิดที่กล้าเปิดเผยว่าถ้าพ่อทำผิด ผมก็จะจับพ่อ
แสดงว่า นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด ยังไม่รู้จริง ๆ เลยว่าพ่อเป็นใครแค่นี้แล้วจะอ้างอะไรบอกว่าที่กระทำเพื่อสังคม กระทำเพื่อประเทศชาติทุกอย่างเป็นพฤติกรรมอำพราง
คนที่มีวุฒิภาวะเพียงพอใครเขาจะเอา
เข็มนั่น ใบประกาศนี่นิด ๆ หน่อย ๆ มาอวดโชว์
และโต๊ะนั่งทำงาน มาอวดลงใน Facebook แบบนี้ คนดี ๆ
ของสังคมคนที่เขามีวุฒิภาวะเขาก็มองออกซิว่าหมอนี่คงจะมีปมด้อยในชีวิตต้องการเรียกร้องให้ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้น นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
น่าจะลองไปพบแพทย์
เพื่อตรวจสอบสภาพจิตดูว่า จะต้องไปพักรักษาตัว หรือต้องกินยา
หรือเข้ารับการฟื้นฟูสภาพจิตใจอย่างไรนั้นก็ว่ากันไป
ว่าแต่ว่าที่แน่
ๆ คือ 5
คดีใน 9 จังหวัดที่ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยฯ
จะไปร้องทุกข์ในกรณีที่ถูกกล่าวหาด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาต่อบุคคลซึ่งเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ทั้ง
6 ท่านนั้นต้องดำเนินคดีแน่นอน และเป็นความผิดที่สำเร็จซึ่งมีหลักฐานอย่างชัดเจน
คราวนี้เพียงแค่การไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานในแต่ละจังหวัด ก็จะเจอหมายจับอย่างแน่นอน (ของจริง) มีคนพยายามขอร้องต่อผู้ใหญ่ทั้ง 6
ท่าน ว่าอย่าดำเนินคดีเลย แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่ยอมโดยเด็ดขาดเพราะเขาถือว่า นายเสฃสัณฑ์
ปะเสิด ได้มีเจตนากระทำเช่นนั้นจริง แต่ท่านเหล่านั้นก็เปิดทางให้ทางเดียวที่จะไม่ดำเนินคดีคือ ต้องมีใบรับรองแพทย์แสดงต่อศาลว่า เป็นบุคคลผู้วิกลจริต ( บ้า ) เท่านั้น จึงจะไม่ติดใจเอาความ และผู้ใหญ่ทั้ง 6
ท่าน ได้สรุปพร้อมกันแล้วว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ( บ้า )
ก็จะถอนฟ้องทุกคดี
เพราะ
ถ้าใครดำเนินคดีกับคนบ้า
คนนั้นก็น่าจะเป็นหนักกว่าผู้ถูกดำเนินคดี
ว่าแต่ว่า........
จะบ้าจริง หรือบ้าเทียม แบบโจรอำพรางเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ
หรือมิจฉาชีพทำตัวเป็นนักข่าว ดังนั้นเหตุที่นักข่าวแท้ไม่ร่วมสังฆกรรมในวันแถลงข่าวที่ นายเสฃสัณฑ์
ปะเสิด คาดหวังเพราะนักข่าวอาชีพเขารู้ความจริง
การถูกดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระใน 5 คดี 9 จังหวัด
จากผู้ถูกกล่าวหาด้วยข้อความอันเป็นเท็จโดย นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
ผอ.เบาะทรุด
ก็ถึงจุดจบแห่งความเป็น...ตำรวจปลอม นักข่าวเทียม...แต่ชั่วแท้...ปิดถนนสื่อเท็จ
นักข่าวเทียมด้วยการละฉะนี้
ดาบสองคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น