เสฃสัณฑ์ ปะเสิด ผอ.เบาะทรุด ประสาทเสื่อม
แบบที่สังคมมิควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
เมื่ออ่านบทความตามที่คุณเคียว
คมกระบี่ ได้เขียนและความเดิมของคุณรักเกียรติ สำนึกดี
ทำให้เราคิดถึงวิวัฒนาการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในหลายๆ ด้าน
แต่เราจะมุ่งเน้นไปในด้านการพัฒนา ความคิด ของ นายเสฃสัณฑ์ ปะเสิด
ผอ.เบาะทรุด ที่พยายามขุดคุ้ยความว่างเปล่า
ของความไม่ดีของมหาวิทยาลัยสันติโลก ก็คือขุดคุ้ยเท่าใดก็หาซากแห่งความไม่ดีหรือเจตนาที่ไม่ดีของมหาวิทยาลัยนั้น
แทบจะไม่มีให้เห็น ทั้งนี้เพราะเหตุแห่งแรงจูงใจที่กำหนดให้มีชื่อว่า มหาวิทยาลัยสันติโลก
นั้นเป็นการคิดและมองไกล ไปสู่โลกกว้าง ท่ามกลางความขัดแย้ง การเข่นฆ่าและทำลายมนุษย์ด้วยกัน
เหตุฉะนั้นพันธกิจของมหาวิทยาลัยฯ
เพื่อมนุษย์ชาติ
จึงเป็นเรื่องใหม่ที่มีรากฐานทางความคิดมาจากผู้ที่มีประสบการณ์ด้านอารยะประเทศ
แห่งโลกที่ผู้นำทั้งหลาย ต่างมุ่งหาความมีสันติภาพ
การดำเนินงานด้านมหาวิทยาลัยแห่งโลกยุคใหม่จึงเป็นสิ่งที่น่าท้าทาย
สำหรับนักวิชาการที่มีความคิดเปิดกว้าง
และกล้าหาญที่จะดำเนินการให้สังคมไทยและสังคมโลกได้มีทางเลือกใหม่
เพิ่มเติมจากระบบและรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่า กรอบความคิดของคนที่เดินในทางแคบและพึงพอใจที่จะเป็นเช่นนั้น
โดยมิได้มองไกลไปในวันข้างหน้าว่าเส้นทางแคบที่กำลังเป็นอยู่นั้น กำลังจะเป็นปัญหา
และอุปสรรคในการพัฒนาสังคม ที่ควรจะขยายเส้นทางเดิน ทางด้านการศึกษาให้กว้างขึ้น
การศึกษาที่ไม่จำกัดรูปแบบและขอบเขตที่ถูกจำกัดทั้งด้านวิธีการและความรู้ที่หลากหลายประกอบกับการยอมรับยกย่องเชิดชูผู้ที่มีผลงาน
อันเป็นประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงที่เป็นสิ่งซึ่ง
ช่วยให้สังคมได้พึ่งพาอาศัยได้นั่นคือ การเปิดกว้างและกล้าหาญ
ที่ดำเนินการของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก โดยเฉพาะกิจกรรมนำร่องที่ทางมหาวิทยาลัย
กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ (Honorary Degree) สาขาสันติภาพโลก (World Peace) ด้านต่างๆให้แก่บุคคลสำคัญอย่างมากมาย
อันเป็นการนำมาซึ่งความสุขและความภาคภูมิใจของผู้ที่ได้รับและญาติสนิทมวลมิตรรอบข้าง
ท่ามกลางความสนใจของสังคมเกี่ยวกับการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ดังกล่าว
ก็มีผลสะท้อนออกมาทั้งในด้านบวกและลบ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
สำหรับสังคมแบบเปิด ดั่งเช่นสังคมไทย แต่ส่วนใหญ่และส่วนมากที่สุด
จะมีท่าที่ร่วมยินดีและสนับสนุนมหาวิทยาลัย ที่มิใช่เป็นความใฝ่ฝันเพียงแค่อุดมคติ
ที่มีผู้คนรอคอยมาเป็นเวลาช้านาน แต่วันนี้มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ได้ดำเนินการให้อุดมคติ
ของคนดี คนมีประสบการณ์จริง ปรากฏผลเป็นรูปธรรมและทำได้และสมควรขยายวิธีการ
ให้กระทำต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
กระแสต่อต้านจากกลุ่มนักวิชาการจริงๆจึงไม่มีมากนัก
เพราะคำว่านักวิชาการ นั้นมันบ่งบอกให้รู้อยู่ว่าควรเป็นผู้มีความคิดเปิดกว้าง
ไม่ควรมีอคติต่อความคิดหรือวิธีการที่ไม่เหมือนตน เพราะผู้เรียน จะอยู่ในรูปแบบของผู้อ่าน
ผู้ศึกษาค้นคว้า หรือผู้ที่เข้ามาเป็นศิษย์ของนักวิชาการแต่ละคนนั้น
ศิษย์ของครูอาจารย์ก็ถือว่าเป็น สิ่งปกติ ดังนั้นนักวิชาการจึงย่อมจะยอมรับฟังทั้ง
สิ่งที่ตนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
นั่นคือนักวิชาการที่ไม่ผูกติดอยู่กับความคิดของตนแต่เพียงอย่างเดียว
ในขณะเดียวกัน
สำหรับนักวิชาการที่มีปฏิกิริยาต่อต้านแนวทางของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
ก็ย่อมเป็นสิทธิส่วนบุคคลเช่นเดียวกัน แต่ถ้าจะพิจารณาให้ลึกถึงแก่นแท้แห่งความคิดของนักวิชาการผู้ต่อต้านแล้ว
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ยึดถือตัวตนเป็นอัตตา คือมักจะบ่นว่า เอ๊ะที่เราเรียนมาแทบตายกว่าจะได้ปริญญา
และตำแหน่งวิชาการ นั้นก็ต้องสร้างผลงานทางวิชาการอย่างเหน็ดเหนื่อย
นั่นก็เป็นสิ่งที่จริง และใช่สำหรับผู้ที่มีมุมมองเช่นนั้น แต่มิได้หมายความว่า...
เรื่องของผู้นั้นจะไปปิดกั้นเรื่องของผู้อื่น
อาจจะมีเรื่องเล่าที่ไม่เข้ากันมากมายนักกับเรื่องทางวิชาการ
แต่ก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบ เพื่อประเทืองความคิด
แล้วต้องไปประดิษฐ์ประดอยความหมายเอาเองแล้วกัน......
นั่นก็คือการที่มีคนสำรวจพบสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญบนภูเขาสูง ผู้ค้นพบชุดแรก
ก็ต้องเดินทางฝ่าฟันอันตรายด้วยความยากลำบาก กว่าจะไปถึงจุดหมาย
ผู้ค้นพบเพิ่มเติมจากสถานที่ซึ่งมีอยู่เดิมแล้วก็สะดวกขึ้นเพราะ
ชุดแรกได้ทำแนวทางนำร่องหรือสร้างรอยไว้ให้ สังเกตเพื่อการเดินทางครั้งต่อไป
จะได้ง่ายขึ้น
ผู้ค้นพบเพิ่มเติมจากชุดที่สองก็ย่อมมองเห็นอะไร
ที่ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น และได้มีโอกาสพัฒนาอะไรเพิ่มเติมอีกมากมาย ณ
จุดหมายแห่งนั้น
ผู้ค้นพบชุดต่อไปก็คือผู้ที่คิดสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่เพิ่มเติม
ทั้งเรื่องของเส้นทางเดิน แห่งการเรียนรู้ระหว่างเส้นทางเดินและกิจกรรมสร้างสรรค์จากความคิดของคนรุ่นใหม่
ยุคใหม่ ให้กลายเป็นสิ่งที่ผู้อื่นได้เรียนรู้และเกิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ
ในจุดหมายนั้น และในที่สุดก็มีการให้บริการสู่จุดหมายโดยการใช้เฮลิคอปเตอร์
โดยการใช้กระเช้าไฟฟ้า
โดยการใช้รถยนต์หรือเครื่องจักรกลชนิดอื่นในการสร้างเส้นทางขึ้นไปสู่จุดหมายปลายทาง
ตัวอย่างดังกล่าวต้องการอธิบายว่าผู้สร้างผู้บุกเบิก
แต่ละยุคสมัย เผชิญกับความยากลำบากที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเดินทางที่แตกต่างกันและความสุขในสิ่งที่ได้พบเห็น
ณ จุดหมาย ที่แตกต่างกันผู้ที่เดินเท้า จะนำประสบการณ์เพียงแค่ระดับสายตารอบด้าน
จะไปต่อต้านหรือคุยข่มผู้ที่ขึ้นกระเช้าหรือขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในการเดินทางก็ไม่ได้
และในทำนองเดียวกัน ผู้ที่เดินทางด้วยกระเช้า
และเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่ควรจะคุยข่มผู้เดินทางสู่จุดหมาย ด้วยการเดินเท้าเช่นเดียวกัน
เพราะต่างคนต่างยุคต่างวิธีการ แต่ทุกคนย่อมมีสัญชาตญาณเป็นของตน สิ่งที่คนแต่ละคน สะท้อนออกมาที่พอจะสามารถ ให้ผู้อื่น
เข้าใจในสัญชาตญาณบางอย่างได้
ก็คือการถ่ายทอดความคิด ออกมาทางสังคม นั้นเอง
ความแตกต่างในเรื่องวิธีการเดินทางสู่จุดหมาย แห่งการสร้างสันติภาพ
ไม่ควรจะนำความแตกต่างทางความคิดมาเป็นประเด็นในการทำลายกัน
แต่ควรมีการเสริมสร้างกัน ดังนั้นหากการดำเนินการใดที่เป็นในรูปแบบขององค์กร
ก็ควรจะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนในรูปแบบขององค์กร และการสร้างคุณความดีที่มีสิ่งดีปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมโดยชัดแจ้ง
จะมีองค์กรใดกล้าหาญที่จะขัดขวางหรือทำลาย…
ดังนั้น
การดำเนินการของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเป็นการเดินทางทุกรูปแบบสู่การสร้างสันติภาพ
หากมีรูปแบบใดที่แปลกใหม่กว่า ก็สามารถนำมาร่วมมือกัน
เพื่อสู่เป้าหมายอันสำคัญร่วมกัน
ถึงแม้จะมีแนวคิดสู่เป้าหมายเดียวกันแต่แตกต่างกันด้านวิธีการ ก็มิได้ถือว่าเป็นสิ่งผิด
ทุกองค์กรจึงไม่มีองค์กรใดที่ออกมาต่อต้านมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก
อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นทางการ
ครั้นมาพิจารณาการกระทำและความพยายามของ
นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม ที่มุ่งมั่นพยายามทำลาย กล่าวหาให้ร้ายต่อมหาวิทยาลัย และคณะผู้บุกเบิกเส้นทางสู่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกนั้นจึงเป็นการพยายามของบุคคลที่ไม่มีองค์กรที่เป็นทางการซึ่งสังคมให้การยอมรับ
เป็นการกระทำของบุคคลที่ยังเดินทางด้วยเท้า ในช่องทางที่คับแคบ
เมื่อวิเคราะห์ความคิดจากเนื้อหาที่ นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม พยายามเขียนยัดเยียด
ข้อหาที่ลมๆ แล้งๆ ให้แก่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้วใส่ลงไปใน Facebook และโพสต์ต่อๆกันไป
โดยที่พยายามอำพรางพฤติกรรมชั่วของตนเองไว้ ผลปรากฏว่า
ไม่ใสสะอาดพอที่จะทำให้สังคมเชื่อได้ และเป็นเพียงบุคคลเดียว
ที่ไม่สามารถหาทางสว่างแห่งชีวิตให้แก่ตนได้ ใช้พฤติกรรมเก่าที่ไม่เคลียร์ต่อสังคมและสวมรอยผู้เป็นสื่อข่าวอาชีพแต่ไม่สมจริง
ประกอบกับอำพรางตนเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ด้วยปฏิบัติการแย่งซีนเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วมาเล่นจำอวดหลอกชาวบ้าน
ทางสื่ออินเตอร์เน็ต ว่าเป็นผู้ปกป้อง ผู้รักความยุติธรรม สารพัดจะอำพราง
โดยใช้คำพูดที่อ่านดูแล้ว คล้าย ๆ กับว่า...เป็นพวกดาวร้ายในหนังไทยยุค....นั่งรถจิ๊บ
ยิงภูเขา เผากระท่อม อะไรทำนองนั้นแหละ
คือ.....หมดยุค
หนังฟิล์ม 16 ม.ม. หรือ 35 ม.ม. ไปแล้ว
ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล...
ดังนั้น นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม จะใช้สื่อดิจิตอล แต่เนื้อหายังเป็นแบบหนังขาว
ดำ ฟิล์ม 16 ม.ม. คงจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก
และสิ่งที่เป็นรางวัลแห่งความชั่ว
ความไม่เคลียร์ต่อสังคมว่า ตัวตนที่แท้จริงของตนนั้นเป็นใคร อาชีพอะไร ลูกใคร
ชาติตระกูลมีความเป็นมาอย่างไร
ทุกอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยเมื่อตอนเป็นจำเลย
5 คดี 9 จังหวัด เร็วๆนี้ คราวนี้หน้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคนดีๆ จะได้ไม่มี
ผีหนวดแมวมาปรากฏให้หลอนหลอกอีกต่อไป เพราะคดีนี้...หลายกระทง....ติดคุกนาน ครับผม
อินทรีย์ ทรนงค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น