วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เสฃสัณฑ์ ปะเสิด ผอ.เบาะทรุด ประสาทเสื่อม แบบที่สังคมมิควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง


เสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ผอ.เบาะทรุด ประสาทเสื่อม
แบบที่สังคมมิควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

            เมื่ออ่านบทความตามที่คุณเคียว คมกระบี่ ได้เขียนและความเดิมของคุณรักเกียรติ สำนึกดี ทำให้เราคิดถึงวิวัฒนาการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในหลายๆ ด้าน แต่เราจะมุ่งเน้นไปในด้านการพัฒนา ความคิด ของ นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด   ผอ.เบาะทรุด ที่พยายามขุดคุ้ยความว่างเปล่า ของความไม่ดีของมหาวิทยาลัยสันติโลก ก็คือขุดคุ้ยเท่าใดก็หาซากแห่งความไม่ดีหรือเจตนาที่ไม่ดีของมหาวิทยาลัยนั้น แทบจะไม่มีให้เห็น ทั้งนี้เพราะเหตุแห่งแรงจูงใจที่กำหนดให้มีชื่อว่า มหาวิทยาลัยสันติโลก นั้นเป็นการคิดและมองไกล ไปสู่โลกกว้าง ท่ามกลางความขัดแย้ง การเข่นฆ่าและทำลายมนุษย์ด้วยกัน
            เหตุฉะนั้นพันธกิจของมหาวิทยาลัยฯ เพื่อมนุษย์ชาติ จึงเป็นเรื่องใหม่ที่มีรากฐานทางความคิดมาจากผู้ที่มีประสบการณ์ด้านอารยะประเทศ แห่งโลกที่ผู้นำทั้งหลาย ต่างมุ่งหาความมีสันติภาพ การดำเนินงานด้านมหาวิทยาลัยแห่งโลกยุคใหม่จึงเป็นสิ่งที่น่าท้าทาย สำหรับนักวิชาการที่มีความคิดเปิดกว้าง และกล้าหาญที่จะดำเนินการให้สังคมไทยและสังคมโลกได้มีทางเลือกใหม่ เพิ่มเติมจากระบบและรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่า กรอบความคิดของคนที่เดินในทางแคบและพึงพอใจที่จะเป็นเช่นนั้น โดยมิได้มองไกลไปในวันข้างหน้าว่าเส้นทางแคบที่กำลังเป็นอยู่นั้น กำลังจะเป็นปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาสังคม ที่ควรจะขยายเส้นทางเดิน ทางด้านการศึกษาให้กว้างขึ้น การศึกษาที่ไม่จำกัดรูปแบบและขอบเขตที่ถูกจำกัดทั้งด้านวิธีการและความรู้ที่หลากหลายประกอบกับการยอมรับยกย่องเชิดชูผู้ที่มีผลงาน อันเป็นประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงที่เป็นสิ่งซึ่ง ช่วยให้สังคมได้พึ่งพาอาศัยได้นั่นคือ การเปิดกว้างและกล้าหาญ ที่ดำเนินการของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก โดยเฉพาะกิจกรรมนำร่องที่ทางมหาวิทยาลัย กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ (Honorary Degree)  สาขาสันติภาพโลก (World Peace) ด้านต่างๆให้แก่บุคคลสำคัญอย่างมากมาย อันเป็นการนำมาซึ่งความสุขและความภาคภูมิใจของผู้ที่ได้รับและญาติสนิทมวลมิตรรอบข้าง
            ท่ามกลางความสนใจของสังคมเกี่ยวกับการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ดังกล่าว ก็มีผลสะท้อนออกมาทั้งในด้านบวกและลบ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับสังคมแบบเปิด ดั่งเช่นสังคมไทย แต่ส่วนใหญ่และส่วนมากที่สุด จะมีท่าที่ร่วมยินดีและสนับสนุนมหาวิทยาลัย ที่มิใช่เป็นความใฝ่ฝันเพียงแค่อุดมคติ ที่มีผู้คนรอคอยมาเป็นเวลาช้านาน แต่วันนี้มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ได้ดำเนินการให้อุดมคติ ของคนดี คนมีประสบการณ์จริง ปรากฏผลเป็นรูปธรรมและทำได้และสมควรขยายวิธีการ ให้กระทำต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
            กระแสต่อต้านจากกลุ่มนักวิชาการจริงๆจึงไม่มีมากนัก เพราะคำว่านักวิชาการ นั้นมันบ่งบอกให้รู้อยู่ว่าควรเป็นผู้มีความคิดเปิดกว้าง ไม่ควรมีอคติต่อความคิดหรือวิธีการที่ไม่เหมือนตน เพราะผู้เรียน จะอยู่ในรูปแบบของผู้อ่าน ผู้ศึกษาค้นคว้า หรือผู้ที่เข้ามาเป็นศิษย์ของนักวิชาการแต่ละคนนั้น ศิษย์ของครูอาจารย์ก็ถือว่าเป็น สิ่งปกติ ดังนั้นนักวิชาการจึงย่อมจะยอมรับฟังทั้ง สิ่งที่ตนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย นั่นคือนักวิชาการที่ไม่ผูกติดอยู่กับความคิดของตนแต่เพียงอย่างเดียว
            ในขณะเดียวกัน สำหรับนักวิชาการที่มีปฏิกิริยาต่อต้านแนวทางของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ก็ย่อมเป็นสิทธิส่วนบุคคลเช่นเดียวกัน แต่ถ้าจะพิจารณาให้ลึกถึงแก่นแท้แห่งความคิดของนักวิชาการผู้ต่อต้านแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ยึดถือตัวตนเป็นอัตตา คือมักจะบ่นว่า เอ๊ะที่เราเรียนมาแทบตายกว่าจะได้ปริญญา และตำแหน่งวิชาการ นั้นก็ต้องสร้างผลงานทางวิชาการอย่างเหน็ดเหนื่อย นั่นก็เป็นสิ่งที่จริง และใช่สำหรับผู้ที่มีมุมมองเช่นนั้น แต่มิได้หมายความว่า... เรื่องของผู้นั้นจะไปปิดกั้นเรื่องของผู้อื่น อาจจะมีเรื่องเล่าที่ไม่เข้ากันมากมายนักกับเรื่องทางวิชาการ แต่ก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบ เพื่อประเทืองความคิด แล้วต้องไปประดิษฐ์ประดอยความหมายเอาเองแล้วกัน...... นั่นก็คือการที่มีคนสำรวจพบสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญบนภูเขาสูง ผู้ค้นพบชุดแรก ก็ต้องเดินทางฝ่าฟันอันตรายด้วยความยากลำบาก กว่าจะไปถึงจุดหมาย
            ผู้ค้นพบเพิ่มเติมจากสถานที่ซึ่งมีอยู่เดิมแล้วก็สะดวกขึ้นเพราะ ชุดแรกได้ทำแนวทางนำร่องหรือสร้างรอยไว้ให้ สังเกตเพื่อการเดินทางครั้งต่อไป จะได้ง่ายขึ้น
            ผู้ค้นพบเพิ่มเติมจากชุดที่สองก็ย่อมมองเห็นอะไร ที่ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น และได้มีโอกาสพัฒนาอะไรเพิ่มเติมอีกมากมาย ณ จุดหมายแห่งนั้น
            ผู้ค้นพบชุดต่อไปก็คือผู้ที่คิดสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่เพิ่มเติม ทั้งเรื่องของเส้นทางเดิน แห่งการเรียนรู้ระหว่างเส้นทางเดินและกิจกรรมสร้างสรรค์จากความคิดของคนรุ่นใหม่ ยุคใหม่ ให้กลายเป็นสิ่งที่ผู้อื่นได้เรียนรู้และเกิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ในจุดหมายนั้น และในที่สุดก็มีการให้บริการสู่จุดหมายโดยการใช้เฮลิคอปเตอร์ โดยการใช้กระเช้าไฟฟ้า โดยการใช้รถยนต์หรือเครื่องจักรกลชนิดอื่นในการสร้างเส้นทางขึ้นไปสู่จุดหมายปลายทาง
            ตัวอย่างดังกล่าวต้องการอธิบายว่าผู้สร้างผู้บุกเบิก แต่ละยุคสมัย เผชิญกับความยากลำบากที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเดินทางที่แตกต่างกันและความสุขในสิ่งที่ได้พบเห็น ณ จุดหมาย ที่แตกต่างกันผู้ที่เดินเท้า จะนำประสบการณ์เพียงแค่ระดับสายตารอบด้าน จะไปต่อต้านหรือคุยข่มผู้ที่ขึ้นกระเช้าหรือขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในการเดินทางก็ไม่ได้ และในทำนองเดียวกัน ผู้ที่เดินทางด้วยกระเช้า และเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่ควรจะคุยข่มผู้เดินทางสู่จุดหมาย ด้วยการเดินเท้าเช่นเดียวกัน เพราะต่างคนต่างยุคต่างวิธีการ แต่ทุกคนย่อมมีสัญชาตญาณเป็นของตน สิ่งที่คนแต่ละคน สะท้อนออกมาที่พอจะสามารถ ให้ผู้อื่น เข้าใจในสัญชาตญาณบางอย่างได้ ก็คือการถ่ายทอดความคิด ออกมาทางสังคม นั้นเอง ความแตกต่างในเรื่องวิธีการเดินทางสู่จุดหมาย แห่งการสร้างสันติภาพ ไม่ควรจะนำความแตกต่างทางความคิดมาเป็นประเด็นในการทำลายกัน แต่ควรมีการเสริมสร้างกัน ดังนั้นหากการดำเนินการใดที่เป็นในรูปแบบขององค์กร ก็ควรจะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนในรูปแบบขององค์กร และการสร้างคุณความดีที่มีสิ่งดีปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมโดยชัดแจ้ง จะมีองค์กรใดกล้าหาญที่จะขัดขวางหรือทำลาย
            ดังนั้น การดำเนินการของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกเป็นการเดินทางทุกรูปแบบสู่การสร้างสันติภาพ หากมีรูปแบบใดที่แปลกใหม่กว่า ก็สามารถนำมาร่วมมือกัน เพื่อสู่เป้าหมายอันสำคัญร่วมกัน ถึงแม้จะมีแนวคิดสู่เป้าหมายเดียวกันแต่แตกต่างกันด้านวิธีการ ก็มิได้ถือว่าเป็นสิ่งผิด ทุกองค์กรจึงไม่มีองค์กรใดที่ออกมาต่อต้านมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นทางการ
            ครั้นมาพิจารณาการกระทำและความพยายามของ นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม ที่มุ่งมั่นพยายามทำลาย กล่าวหาให้ร้ายต่อมหาวิทยาลัย และคณะผู้บุกเบิกเส้นทางสู่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกนั้นจึงเป็นการพยายามของบุคคลที่ไม่มีองค์กรที่เป็นทางการซึ่งสังคมให้การยอมรับ เป็นการกระทำของบุคคลที่ยังเดินทางด้วยเท้า ในช่องทางที่คับแคบ เมื่อวิเคราะห์ความคิดจากเนื้อหาที่ นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม พยายามเขียนยัดเยียด ข้อหาที่ลมๆ แล้งๆ ให้แก่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้วใส่ลงไปใน Facebook และโพสต์ต่อๆกันไป โดยที่พยายามอำพรางพฤติกรรมชั่วของตนเองไว้ ผลปรากฏว่า ไม่ใสสะอาดพอที่จะทำให้สังคมเชื่อได้ และเป็นเพียงบุคคลเดียว ที่ไม่สามารถหาทางสว่างแห่งชีวิตให้แก่ตนได้ ใช้พฤติกรรมเก่าที่ไม่เคลียร์ต่อสังคมและสวมรอยผู้เป็นสื่อข่าวอาชีพแต่ไม่สมจริง ประกอบกับอำพรางตนเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้วยปฏิบัติการแย่งซีนเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วมาเล่นจำอวดหลอกชาวบ้าน ทางสื่ออินเตอร์เน็ต ว่าเป็นผู้ปกป้อง ผู้รักความยุติธรรม สารพัดจะอำพราง โดยใช้คำพูดที่อ่านดูแล้ว คล้าย ๆ กับว่า...เป็นพวกดาวร้ายในหนังไทยยุค....นั่งรถจิ๊บ ยิงภูเขา เผากระท่อม อะไรทำนองนั้นแหละ
            คือ.....หมดยุค หนังฟิล์ม 16 ม.ม. หรือ 35 ม.ม. ไปแล้ว
            ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล... ดังนั้น นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม จะใช้สื่อดิจิตอล แต่เนื้อหายังเป็นแบบหนังขาว ดำ ฟิล์ม 16 ม.ม. คงจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก
            และสิ่งที่เป็นรางวัลแห่งความชั่ว ความไม่เคลียร์ต่อสังคมว่า ตัวตนที่แท้จริงของตนนั้นเป็นใคร อาชีพอะไร ลูกใคร ชาติตระกูลมีความเป็นมาอย่างไร
            ทุกอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยเมื่อตอนเป็นจำเลย 5 คดี 9 จังหวัด เร็วๆนี้ คราวนี้หน้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคนดีๆ จะได้ไม่มี ผีหนวดแมวมาปรากฏให้หลอนหลอกอีกต่อไป เพราะคดีนี้...หลายกระทง....ติดคุกนาน ครับผม        อินทรีย์ ทรนงค์    


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น