วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เบาะแสฉลาดขึ้น มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ตอนที่ 2


            เพียงแค่เห็นชื่อที่ใช้คำว่า “มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก” ก็ดูค่อนข้างจะแปลกและสะดุดใจเล็กน้อยเพราะคำว่า สันติภาพโลก ทำให้เกิดแง่ความคิดไปได้ในหลายแง่มุมว่า...เป็นเรื่องของการประกาศศาสนาบางศาสนาหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสันติภาพใด ๆ หรือเปล่า หรือเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมใด ๆ ทางสังคมใด ๆ หรือเปล่า...ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถคิดไปกันได้

            แต่สำหรับ “มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก” นั้นเป็นเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นนักวิชาการที่ใช้เวลาในการทุ่มเทและต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนานับประมาณนานกว่า 30 ปี เพื่อต้องการปลดปล่อยโซ่ตรวนหรือความมีอคติทางความคิดด้านการพัฒนาการของมนุษย์ให้มีอิสระโดยแท้จริงที่สามารถนำพาให้มนุษย์อยู่ร่วมสังคมได้อย่างสันติ และมีสิทธิทางปัญญาที่สังคมสามารถให้การยอมรับในคุณค่าแห่งความดีอันเนื่องจากประสบการณ์ชีวิตที่มีการปฏิบัติได้จริง ผ่านพ้นความผิดพลาดและความถูกต้องด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งชีวิตสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างสง่างาม และมีผู้ตามที่นำหลักความคิดการปฏิบัติไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อองค์กรและสังคมตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนสู่สังคมระดับชาติและสามารถก้าวไปสู่ในระดับโลกได้นั่นคือ “เจตนารมณ์ส่วนหนึ่ง” ของแนวคิดในการสถาปนามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ซึ่งผู้ก่อตั้งเป็นเจ้าของชื่อและตราเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย รวมทั้งรูปแบบของชุดเสื้อครุย คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สวัสดิ์ บันเทิงสุข อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 30 ปี และอดีตประธานสภาอาจารย์ 2 สมัย

            แนวความคิดและการปฏิบัติของมหาวิทยาลัยจึงต้องการเปิดโลกแห่งความคิดให้สังคมมองเห็นถึงอิสระแห่งการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรูปแบบของมหาวิทยาลัยในกรอบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและรูปแบบของมหาวิทยาลัยนอกกรอบ คำว่า “มหาวิทยาลัยนอกกรอบ” ก็ไปเป็นคู่มิตรบางประเด็นกับ “มหาวิทยาลัยนอกระบบ” ที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยหลายแห่งที่ปรารถนาและพยายามที่จะเป็นกัน และความพยายามที่จะเป็นนั่นแหละ...จึงกลายเป็นความรู้สึกที่สังคมพอจะเริ่มสัมผัสและพอจะมองเห็นความเด่นชัดขึ้นมาบ้างว่า... แท้ที่จริงแล้วมหาวิทยาลัยเหล่านั้น...ไม่ต้องการถูกควบคุมแนวความคิดไปทางก้าวหน้า ไม่ต้องการถูกควบคุมแนวความคิดในการดำเนินกิจการหรือแนวทางด้านการตลาดของมหาวิทยาลัย และเห็นอย่างเด่นชัดก็คือในปัจจุบันนั้นมหาวิทยาลัยเอกชนได้แข่งขันในการดำเนินธุรกิจด้านการศึกษาอย่างมากมายและมหาวิทยาลัยของเอกชนจำนวนไม่น้อยก็สร้างคุณภาพด้านวิชาการได้ไม่ด้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐอีกหลายแห่ง

            มหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่งก็ อาจจะถึงขั้น ด้วยการพัฒนาไปกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนอีกหลายแห่ง เพราะถูกควบคุม ถูกครอบงำ ถูกกีดกัน ถูกฝังความคิดและความจำให้ซ้ำซากจนกลายเป็นความเชื่องช้าและล้าหลังจนกระทั่งต้องเกิดการตื่นตัว หลับหูหลับตาขยายสาขาวิชาการต่าง ๆ อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงพอจะมองเห็นว่าเดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยของรัฐที่คณะผู้บริหารหัวใส เข้าใจใช้ความเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐและใช้เงินที่เป็นรายได้ก้อนใหญ่จากผู้ใฝ่หาปริญญารายย่อยจนเกิดภาควิชา “ไร้สาระ” ที่ทำให้คนเป็นบัณฑิต มหาบัณฑิต ด๊อกเตอร์ต๊อกต๋อย มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ

            แต่ก็มีมหาวิทยาลัยเอกชนจำนวนไม่น้อยที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเพื่อมุ่งหารายได้เป็นหลัก ส่วนคุณภาพยังเป็นขยุกขยิกเป็นรอง แต่ก็ยังคงดันทุรังไปได้เพราะเงินถึงและสามารถอยู่ได้ในกรอบของการถูกควบคุมโดยองค์กรที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัยแบบเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ดังที่เห็นกันอยู่มากมายในปัจจุบัน

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมุ่งเน้นในการสร้างเครือข่ายของคนที่มีมูลค่าของชีวิตที่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่ยังไม่มีองค์กรใด ๆ ทางด้านการศึกษาได้ทำการสถาปนาประสบการณ์ชีวิตของบุคคลเหล่านั้นว่า “เขามีคุณค่า...เขาสมควร...เขาเดินทางถูกต้องแล้ว...เขาทำดีอยู่แล้ว...เขาสมควรทำต่อไป

            ดังนั้นถ้าไม่มีองค์กรใด ๆ มองเห็นคุณค่าและสถาปนาที่เขาปฏิบัติอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว เขาเหล่านั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่สำควรจะมุ่งมั่นกระทำต่อไป ด้วยการถ่ายทอดวิชาและประสบการณ์ชีวิตที่เอาตัวให้รอด นำพาครอบครัวให้ไปได้ ช่วยเหลือสังคมให้ดีขึ้น มันอาจจะจบสิ้นลงไปพร้อมกับการจบชีวิตของผู้อื่นนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงเป็นองค์กรที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยการต่อสู่ฟันฝ่าอุปสรรคทุกรูปแบบเพื่อองค์กรทางสังคมที่จะสถาปนาส่งเสริม สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ “ปราชญ์และอัจฉริยะบุคคลธรรมชาติ” ที่เป็นทรัพยากรบุคคลทางวิชาการด้านทฤษฎีปฏิบัติโดยแท้จริง

            สังคมจะอยู่รอดได้ด้วยการขับเคลื่อนโดยทฤษฎีแห่งการปฏิบัติ และเขาเหล่านั้นสามารถมองเห็นคุณค่าแห่งประสบการณ์ชีวิตของตนและสามารถใช้ประสบการณ์ชีวิตสอนคนรุ่นต่อไปได้ อย่างน่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง


เบาะแสตาสว่าง มหาวิทยาสันติภาพโลก



ทำความเข้าใจด้วยคำอธิบายอย่างง่ายๆ

เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก World Peace University

มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (World Peace University) มิใช่มหาวิทยาลัยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ หน่วยงานที่กำกับดูแลด้านมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชนในประเทศไทย

คำว่า “มหาวิทยาลัย”

มิใช่เป็นลิขสิทธิ์ของผู้ใดผู้หนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งเฉพาะ

 

แต่ชื่อมหาวิทยาลัย “สันติภาพโลก” (World Peace University) เป็นลิขสิทธิ์ของผู้ก่อตั้งและผู้เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สวัสดิ์ บันเทิงสุข (Emeritus Prof. Dr.Sawat Banterngsook Ph.D) อดีตอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 30 ปี และอดีตประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 สมัย (8ปี)

มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมิได้เป็นนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย จึงมิได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรที่ดูแลมหาวิทยาลัยที่รัฐรับรองและมหาวิทยาลัยมิได้ดำเนินกิจกรรมที่ทำให้เสื่อมเสียต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือดำเนินกิจกรรมที่เป็นการละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของบุคคลใดๆ แต่กลับเสริมสร้างคุณค่าของคนโดยมิได้แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนาและชนชั้น

มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มีภูมิลำเนาอยู่ในรัฐ ฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา นั่นคือมีความเป็นนิติบุคคลอยู่นอกประเทศไทย มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มีแนวทางการเรียนการสอนตามวิถีธรรมชาติที่มนุษย์สะดวกที่สุด และผ่านโลกไซเบอร์ทุกรูปแบบรวมทั้งระบบออนไลน์และมิได้อยู่ในกรอบเสมือนมหาวิทยาลัยที่ถูกควบคุมโดยรัฐ ซึ่งจะต้องมีห้องเรียนหรือชั้นเรียนต่างๆ อย่างน้อย 50% ดังนั้นวุฒิบัตร  ประเภทต่างๆของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงไม่สามารถและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำไปใช้แสดงเพื่อใช้สิทธิ์ต่างๆในทางราชการเพราะว่าเป็นวุฒิบัตรแห่งชีวิต ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถในการดำรงตนอยู่ได้เหนือกว่าความจำเป็นที่จะต้องนำเอกสารของมหาวิทยาลัยไปใช้สิทธิ์เรียกร้องสิทธิ์ใด ๆ ต่อหน่วยงานราชการ (เป็นเกียรติเฉพาะที่มนุษย์ผู้มีความเหมาะสมที่พึงจะได้รับ) ของคนในสังคม

            เรื่องของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจึงเป็นเรื่องของการสร้างสันติภาพของโลก มิใช่เป็นเรื่องย่อยๆหยุมหยิมของประเทศใดประเทศหนึ่ง การเรียนการสอนเป็นการก้าวทันโลกยุคใหม่อย่างรวดเร็วไม่จำเป็นต้องให้ระบบใดๆมาตีกรอบให้อยู่หรือให้เป็นแบบของผู้ที่จะบังคับหรือถูกควบคุม เป็นเรื่องของเสรีภาพทางวิชาการที่ถูกต้องและหลักวิชาการดังกล่าวนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 อยู่แล้วซึ่งมีข้อความว่า  “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการการศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัยและการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครองทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”

            ดังนั้น ผู้ที่เป็นผู้ประประสิทธิ ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้คนโดยทั่วไปของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จึงมีทั้งนักวิชาการที่อยู่ในแวดวงวิชาการ เป็นศาสตราจารย์ผู้มีความรู้ด้านวิชาการจริง และมีทั้งนักวิชาการผู้มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติจริง มีความสามารถเฉพาะด้านจริงๆ และปริญญาบัตรก็ออกให้โดยนักวิชาการผู้มีสิทธิ์และมาตรฐานทางวิชาการและมาตรฐานของผู้มีวิชาชีพและเป็นผู้มีการศึกษาในระดับปริญญาเอกอย่างน้อย 2 ท่าน จึงเป็นผู้ลงนามรับรองในปริญญาบัตร ซึ่งมิได้แตกต่างหรือด้อยมาตรฐานไปจากแวดวงของนักวิชาการด้านการศึกษาที่เป็นสากลแต่ประการใด เพียงแต่มีความแตกต่างด้านความคิดก้าวหน้าจากบรรดาผู้ที่มีความคิดที่ถอยหลังและวิสัยทัศน์แคบกว่าเท่านั้นเอง

            สภามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ได้มีมติเพื่อการมอบดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) แก่บุคคลที่มีความเหมาะสม มีความสามารถมีประสบการณ์ชีวิต ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ มีผลงานทางสังคมอย่างกว้างขวาง ถือว่าเป็นการมอบปริญญาชีวิตให้แก่บุคคลพิเศษทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกโดยมิได้มีการตีกรอบเพื่อแบ่งแยกมาตรฐานด้านคุณค่าของคนแต่ประการใด

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกไม่สามารถเรียกเก็บเงินและไม่สามารถออกเอกสารทางการเงินที่ใช้ภายในประเทศให้แก่บุคคลใดๆได้ เพราะมิใช่เป็นนิติบุคคลในประเทศไทย แต่มีสิทธิ์ให้ความรู้ ให้การศึกษาอบรมแก่คนในประเทศได้ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ (มาตรา 50) แต่หากมีผู้ประสงค์อย่างชัดเจนจะบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงานกิจการของมหาวิทยาลัยเพื่อทำประโยชน์แก่สังคมและมนุษยชาติย่อมสามารถ บริจาคเงินเข้ามูลนิธิศรัทธาได้ ซึ่งมูลนิธิศรัทธา เป็นนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย และมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาแก่บุคคลทั่วไปทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว (ในวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ของมูลนิธิ) โดยผู้บริจาคย่อมระบุวัตถุประสงค์ เพื่อมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกได้เลย ซึ่งมูลนิธิศรัทธาได้มีมติของกรรมการบริหารมูลนิธิ (อยู่ในบันทึกรายงานการประชุม) ให้รับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก อยู่ในความอุปถัมภ์ของ มูลนิธิ เมื่อปี พ.ศ.2555

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จึงไม่เกี่ยวกับนโยบาย การบริหารจัดการหรือการควบคุมขององค์กรใดๆ มหาวิทยาลัยฯ มีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง หากผู้ใดกล่าวหาว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยเถื่อน ถือว่ามีเจตนาทำให้ชื่อเสียงของ มหาวิทยาลัยเสื่อมเสีย ทางผู้เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยสามารถดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทได้และเรียกร้องค่าเสียหายได้ และผู้กระทำความผิดจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นซึ่งอาจจะมีผู้ที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากผลกระทบด้านชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้น เป็นโจทย์ฟ้องดำเนินคดีเพิ่มขึ้นโดยที่ทางมหาวิทยาลัยไม่สามารถที่จะยับยั้งการใช้สิทธิทางกฎหมายของบุคคลเหล่านั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ได้มอบปริญญาชีวิต ให้แก่คนทำดี คนมีคุณค่าแห่งชีวิต คนมีคุณค่าทางสังคม มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ได้กระทำในสิ่งที่มหาวิทยาลัยธรรมดาในระบบทำได้ยาก การให้ดุษฎีบัณฑิต การให้ปริญญาหรือตำแหน่งทางวิชาการ (กิตติมศักดิ์) จึงมิได้ทำให้ผู้ใดได้รับความเสียหาย หากมีการกล่าวหาในทางเสียหายนั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากความไม่เข้าใจหรืออาจจะเป็นเพราะความอิจฉาริษยาของผู้ที่ขาดความเข้าใจและไม่อยากเห็นใครดีกว่าตนเท่านั้นเอง

            การสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่คนในทุกระดับของสังคม จึงไม่ควรมีกรอบครอบงำหรือบังคับและโดยเฉพาะประเทศไทยของเรากำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน (AEC) ดังนั้น แนวทางในการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยจึงกำลังก้าวเข้าสู่ความก้าวหน้าของโลกที่เรียกกันว่า ร่วมกันสร้างสันติภาพ มิใช่การก้าวถอยหลังสู่ยุคด้อยพัฒนาอีกต่อไป

            ประสบการณ์ของคนสู้ชีวิต ของผู้ประสบความสำเร็จของนักต่อสู้ผู้เสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติที่มิได้แบ่งแยกเพราะการเมือง เพราะระบบผลประโยชน์ เพราะระบบราชการ ของประเทศ หรือเพราะระบบคณะนิกายของศาสนาใดๆ การทุ่มเทชีวิตและทรัพยากรในการกระทำดี ของผู้เสียสละควรจะได้รับการยอมรับและยกย่องจากสังคมจากหน่วยเล็ก ๆ ไปสู่หน่วยที่กว้างใหญ่ขึ้น

            การนำมาตรฐานขององค์กรทางการศึกษาใดๆที่ถูกตีกรอบครอบงำสังคม จะไม่สามารถก่อให้เกิดสันติภาพได้ หากยังคงมีการรังเกียจ เหยียดหยันหรือสร้างเงื่อนไขให้เข้าใจกันเพียงเพื่อผลประโยชน์แห่งตน แบ่งพรรคแบ่งพวก และใช้กฎเกณฑ์ที่ต้องอาศัยปริมาณเงินบริจาคซึ่งต้องเป็นหลักล้านหรือ หลายๆ ล้าน จึงจะมีสิทธิ ดังที่รู้ที่เห็นกันอยู่แล้ว เพียงเพื่อการรับมอบปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิต ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่ในปัจจุบันแล้วว่า คนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนที่มีประโยชน์ต่อสังคม แต่ไม่มีเงิน กลายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ด้อยค่าถูกลืม รู้สึกว่าเขาด้อยค่าเพราะเขาไร้ปัจจัยด้านการเงินที่จะช่วยสนับสนุนและประกอบกับเขาเหล่านั้นมิใช่พวกพ้องของตน

            หรือหากจะพิจารณาดูจากในสังคมของการมอบรางวัลอันสำคัญให้แก่บุคคลทั่วไปที่อาจจะถูกอุปโลกน์ว่าสำคัญ เพียงแค่ว่าใครพวกใคร มีกำลังเงินเท่าไหร่ แล้วสังคมไทยจะเกิดกำลังใจหรือจะมีการพัฒนาให้กว้างขวางด้วยความสามารถและมีการนำประสบการณ์ของชีวิตที่แท้จริงของคนดี คนเก่ง แต่ยากจนหรือด้อยโอกาสมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านการพัฒนาได้อย่างไรกัน?

            และ ถ้าใครบอกว่า พยายามสืบค้น (Search) หารายรายละเอียดของ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก แล้วไม่มีรายละเอียดมากมายนักหรือหาไม่เจอ จึงมิใช่เป็นเรื่องที่แปลกอะไร เพราะว่ามหาวิทยาลัย แห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยสันติภาพแห่งแรกของโลก และมีคนไทยเป็นเจ้าของและเป็นการเปิดกว้างในการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คนทั้งโลก ซึ่งเพิ่งจะมีการสถาปนามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ณ โรงแรมแชงกรีล่า จ.เชียงใหม่

มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในแบบของเสื้อครุยของบัณฑิตในระดับต่าง ๆ และมิได้ลอกเลียนแบบมาจากมหาวิทยาลัยใด ๆ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมีผู้เป็นเจ้าของชื่อมหาวิทยาลัย และตราโลโก้ของมหาวิทยาลัยคือศาสตราจารย์ กิตติคุณ ดร. สวัสดิ์ บันเทิงสุข (Emeritus Prof. Dr.Sawat Banterngsook Ph.D) โทร:081-1122588 และมิได้ลอกเลียนแบบตราโลโก้หรือใช้ชื่อให้ซ้ำหรือให้พ้องกับชื่อของมหาวิทยาลัยใด ๆ

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มิได้แอบอ้างชื่อหรือตราเครื่องหมายของ มหาวิทยาลัยของรัฐหรือองค์กรใดๆ ของรัฐ หรือเอกชนใด ๆ และแบบปริญญาบัตรหรือแบบสื่อการเรียนการสอนก็มิได้ลอกเลียนแบบของใครจึงมิได้กระทำการละเมิดต่อผู้ใดเพียงแต่เป็นการกระทำเพื่อมนุษยชาติในทางสร้างสรรค์เป็นหลัก

            การมอบความสุข การเสริมสร้างคุณค่าของบุคคล การสร้างขวัญและกำลังใจ การส่งเสริมให้คนทั่วไปรู้เรื่องและเข้าใจเรื่องสันติภาพและการกระทำความดีต่อผู้ที่ได้รับเกียรติบัตรให้มีแต่ความสุขและความภาคภูมิใจในประสบการณ์และวันเวลาแห่งชีวิตที่ผ่านมา จึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดๆ

            ดังนั้นหากมีผู้คนซึ่งอยู่ในกรอบของความเคยชินแบบมหาวิทยาลัยในกรอบแห่งอุดมคติของตน และของโลกยุคเก่า ซึ่งเรากำลังจะก้าวข้ามไป เพียงเพราะไม่เคยได้ยิน! หรือไม่คุ้นเคย! หรือไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน? แล้วผิดกฎหมายหรือไม่ (กฎหมายอะไร...ของใคร...!) หรือว่าเป็นมหาวิทยาลัยเถื่อน! (เถื่อน เพราะตนไม่รู้..? หรือเถื่อนเพราะศาลมีคำพิพากษา ว่าเป็นมหาวิทยาลัยเถื่อน...?) แล้วมีผู้ใดเป็นผู้เสียหายจากการดำเนินกิจกรรมของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ถ้ามีผู้เสียหายจากการดำเนินกิจกรรมของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ก็ควรจะแสดงตนเป็นผู้เสียหายและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด ให้สอดคล้องกับกฎหมาย (ที่มีอย่างชัดเจน) ถ้าไม่มีผู้ใดแสดงตนเป็นผู้เสียหาย แสดงว่า เป็นเพียงแค่คำกล่าวหาเพียงลอยๆ ของผู้ไร้วุฒิภาวะและมีจิตริษยาที่ไม่อยากเห็นใครเด่นกว่าตัวเท่านั้นเองซึ่งเข้าข่ายของการกระทำที่ผิดกฎหมายฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง ทำให้ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง

            เหตุฉะนั้น จึงมีนักวิชาการผู้มีชื่อเสียง ผู้มีวุฒิภาวะสูงทางสังคม ทั้งข้าราชการ ข้าราชการการเมือง นักธุรกิจ บุคคลชั้นนำทางสังคม ผู้มีการศึกษาในระดับสูงในสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ผู้มีชื่อเสียงแห่งวงการบันเทิง , นักสื่อสารมวลชน นักกีฬา  , นักปกครอง , นักการทหาร , ตำรวจ , นักธุรกิจ , ปราชญ์ชาวบ้าน จึงมีความยินดี และมีความภาคภูมิใจ ต่อการได้รับปริญญาบัตร (กิตติมศักดิ์) เพราะคนเหล่านั้นรอคอย และคิดฝันมานานและไม่คาดคิดว่า มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก จะเป็นคำตอบเพื่อมนุษยชาติ เพื่อชีวิตและบั้นปลายแห้งอนาคตของเขาในแวดวงของผู้ที่หิวกระหายหาความรู้และความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้

            ฉะนั้นนอกเหนือจาก การลงบันทึกคำแถลงร่วมกับ ESCAP และ UNESCO ซึ่งเป็นองค์กรขององค์การสหประชาชาติ  (UNITED NATION) ด้านการสร้างสันติภาพแล้ว มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกได้มีการลงบันทึกข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจร่วมกันกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และยังคงมีการแต่งตั้งตำแหน่งที่สำคัญให้แก่บุคคลที่มีความเหมาะสม และจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันพัฒนาสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่สังคมไทยและสังคมอาเซียน และก้าวไปสู่ ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป จนกระทั่ง สู่โลกแห่งสันติภาพ ของมนุษยชาติที่จะได้อยู่ร่วมกัน อย่างสันติร่วมกับองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งการสร้างพลังเพื่อสันติภาพได้

            ดังนั้นนักศึกษาและผู้รับปริญญาบัตรทุกประเภทของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก และนักวิชาการ พร้อมทั้งอาสาสมัครตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก คือ ผู้ที่ร่วมกันสร้างสันติภาพให้แก่ประชาคมโลก คือผู้พัฒนา เครือข่ายแห่งสันติภาพ เพื่อสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขของสังคมให้แก่โลกโดยมิได้ย่อท้อหรือคิดจะเลิกล้มอุดมการณ์แต่ประการใด

            เหตุฉะนั้นคนในสังคมยุคใหม่จึงควรทำความเข้าใจเรื่องของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกให้กระจ่างว่า มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มิใช่เป็นมหาวิทยาลัยในกรอบที่ติดกับดักของความคิดแคบๆของกลุ่มคนที่มิได้แสวงหาสันติภาพและละเลยที่จะเสาะแสวงหาหนทางแก้ไขในการสร้างสรรค์งานเพื่อสังคมที่มิควรเพิกเฉยหรือละเลยปล่อยให้สังคมอยู่อย่างคนป่วยทางจิตใจโดยผู้ป่วยไม่รู้ถึงอาการของตนเอง ผู้ที่เข้าใจและยอมรับความจริงในสังคมเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้รักษาความเจ็บป่วยทางสังคมได้อย่างถาวร                                                                                                                     

 

ด้วยความปรารถนาดีจาก


คณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก