วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ในความแปลกใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่เคยชิน


            การค้นหาตัวเองเรื่องสัจธรรมแห่งชีวิตเพื่อจะเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ หยุดความมืดทางความคิดจึงต้องตั้งสมาธิ หลับตาเพื่อค้นหาความจริง...ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า...แต่อาจจะมองเห็นทางปัญญาถึงแม้เวลาหลับตาก็ตาม

            การนั่งสมาธิ...อธิษฐาน...ละหมาดแล้วหลับตา เพื่อแสดงหาจุดสัมผัสแห่งความปิติสุข คือการมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาผู้ไม่ปฏิบัติ ไม่สามารถมองเห็นได้ในภาวะปกติ เพราะว่าในสภาพภาวะปกตินั้นเป็นภาพแห่งความเคยชินที่เห็นอยู่เป็นประจำ จึงมักจะไม่ค่อยรู้สึกว่ามีอะไรแปลก มนุษย์จึงให้ความสนใจในสิ่งใด ๆ ก็ตามที่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แปลก แล้วในสิ่งแปลก ๆ ที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนบางคนงงสงสัย บางคนเข้าใจ บางคนมีความสุข มีความทุกข์ มีความกลัว อย่างเห็นได้ชัด

            เมื่อผู้ใดก็ตามใจเป็นกลาง ปราศจากอคติใด ๆ เมื่อพบสิ่งแปลกใหม่ก็จะไม่ตื่นตระหนกหรือตกใจหรือดีใจจนไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ เพราะเข้าใจความเข้าใจสิ่งใด ๆ ก็ตามจึงต้องอาศัยความเป็นกลางทางจิตใจ ไม่รีบสนับสนุน ไม่รีบต่อต้านในความแปลกที่ตนได้เห็นและแล้วความชัดเจนของความแปลกที่ได้เห็นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหา และนำมาซึ่งความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

            “มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก” เป็นความแปลกใหม่ที่คนทั่วไปไม่เคยชิน ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งโลกยุคใหม่ โลกแห่งการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้ที่ไร้ขอบเขตจำกัด หลายคนจึงนึกว่าเอ๊ะ มหาวิทยาลัยอะไร... พอเริ่มตั้งคำถามเช่นนั้น...มันก็ทำให้ขมคิดเกิดความเปรียบเทียบกับภาพมหาวิทยาลัยที่ผู้นั้นรู้จักและมองเห็นอยู่เป็นประจำ เขาผู้นั้นจึงนำเอาภาพแห่งความจดจำแห่งความเคยชินเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยในอดีตหรือปัจจุบัน จึงนำภาพความทรงจำ ความเคยชินเหล่านั้นไปเป็นกฎเกณฑ์เพื่อตั้งเป็นมาตรฐานหลักและเปรียบเทียบกับของแปลก ของใหม่ พอเห็นว่าของแปลกของใหม่ ไม่เหมือนหรือไม่สอดคล้องกับของเก่าที่เราเคยชิน จึงรีบตัดสินเลยว่าของแปลกใหม่ที่ว่านั้นไม่ถูกต้อง เป็นของเถื่อน!! เป็นของผิดกฎหมายอะไรทำนองนั้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วกฎหมายฉบับที่ใช้ในการกำกับดูแลองค์กรทางสังคมเป็นกฎหมายที่ไม่ทันสมัยไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพราะกฎหมายแต่ละฉบับกว่าที่จะถูกตราเป็นกฎหมายขึ้นมาได้ ต้องออกโดยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกฎหมายหรือพระราชบัญญัติแต่ละฉบับนั้นมันมีความยุ่งยากซับซ้อนมาก การที่จะออกมาใช้ได้จึงเป็นสิ่งที่ผ่านการกลั่นกรองเป็นอย่างดี แต่บางทีหากเป็นผลประโยชน์ของนักการเมืองกลุ่มใหญ่ก็อาจจะเป็นไปได้ รีบเกาะกลุ่ม ล๊อบบี้กันช่วยให้ผ่านเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันก็มี จึงเป็นที่มาของการอุป การโกงทรัพยากรของแผ่นดิน โดยมีนักการเมืองในสภาที่จะทุ่มเทเวลาเฟ้นหากฎหมายเก่าที่ล้าหลัง เพื่อนำมาแก้ไขก็คงจะยากลำบากเต็มที แทบจะไม่มีความหวังเอาเสียเลย

            แต่ทว่า...เป็นเรื่องของความแปลกใหม่ในสังคม ดังเช่นมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกนั้น หากเป็นความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือวิธีการศึกษาความรู้ที่เป็นความจริง เป็นสิ่งที่สังคมมนุษย์แห่งโลกสากลปฏิบัติกันอยู่ และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะสิ่งที่มุ่งเน้นไปในทางสร้างสรรค์สันติภาพให้เกิดขึ้นในทางสังคม เมื่อมีความนิยมและมีการยอมรับกันในวงกว้างของสังคมมากยิ่งขึ้นแล้วเกิดเป็นปัญญาของความไม่เข้าใจกัน มีการโต้แย้งกันหรือกล่าวหากันด้วยความไม่ถูกต้องกลายเป็นขอพิพาทที่ต้องหาจุดยุติ และผู้ที่จะยุติได้คือ ศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งต้องพิสูจน์กันจนถึงชั้นศาลฎีกาและจะกลายเป็นตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานทางสังคมต่อไป ดังเช่นในต่างประเทศก็เป็นลักษณะทำนองเดียวกันมาแล้วที่สหรัฐอเมริกา         
เขียนโดย ศ.(กิตติมศักดิ์) ดร.ศุภณัฐ  ดอนจันทร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น