วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เสฃสัณฑ์ ปะเสิด กับจุดจบ...บนเส้นทางข่าวสีเทา


เสฃสัณฑ์ ปะเสิด กับจุดจบ...บนเส้นทางข่าวสีเทา

น่าเห็นใจ  ชายไทยผู้มักใหญ่ใฝ่สูงผู้เลอเลิศไปด้วยเรื่องราวที่เป็นที่รู้กันว่ามิจฉาชีพในภาพสื่อจะต้องกลายเป็นผู้ต้องหา  5  คดี  9  จังหวัด
เหตุใดผู้ที่พยายามสร้างภาพแห่งความเป็นคนดีดั่งเช่น นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ต้องร้อนรุ่มกลุ้มใจไปตัดพ้อต่อว่า  ผู้สื่อข่าวอาชีพอันเนื่องจากการที่เขาไม่มาในงานแถลงข่าวของนายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด ที่จะแถลงข่าวเรื่องที่ตนแจ้งความเพราะนักข่าวเหล่านั้นเป็นนักข่าวมืออาชีพซึ่งต้นสังกัดของเขาดูดีมีสกุลรุนชาติ  สื่อของเขานั้นคนสมัครเป็นสมาชิกและกล้าควักสตางค์ซื้อได้ด้วยความภาคภูมิใจ  เพราะรูปแบบและเนื้อหาในหนังสือพิมพ์หรือทีวีของเขาเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นมาในราคาของความเป็นคนดีที่มีอุดมการณ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์หรือ  ผู้สื่อข่าวและรูปแบบของการทำงานของเขานักข่าวเหล่านั้นไม่เหมือนกับพวกโจรอำพราง  “โจรก็คือโจร”  “นักข่าวก็คือนักข่าว”  “ตำรวจก็คือตำรวจ” แต่นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  เล่นบทเป็นโจรอำพรางบนเวทีลิเกอ้างตัวเป็นนักข่าว  อ้างตัวให้ดูคลุมเครือเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอะไรทำนองนั้น แต่เรื่องราวของชีวิตนั้นหาสาระอะไรไม่ได้  แถมยังอวดอ้างความกล้าหาญว่าถ้าพ่อของผมทำผิดผมก็จะจับพ่อ...  อ้าว...แล้วคุณมีอาชีพอะไร  ตำรวจก็ไม่ใช่  เป็นแค่หัวหน้า  รปภ.  บริษัท  เบาะเสื่อม  แล้วจะไปจับใครจึงพยายามกล่าวอ้างถึงความเด็ดเดี๋ยว  “ จับพ่อ ”  คนที่กระทำเช่นนี้ที่ปรากฏให้เห็นเป็นส่วนใหญ่มักจะเป็นพวก  “ เมายาบ้า ”  เท่านั้นแหละครับ
แต่ก็เอาเถอะจะอย่างไรก็ช่างว่าแต่ว่าก่อนอื่น  ท่านผอ.เบาะทรุด  ต้องตอบต่อสังคมให้ได้เสียก่อนว่า   คุณมีสิทธิอะไรที่พยายามอ้างว่าจะเอาเงินจากท่านอาจารย์สวัสดิ์  บันเทิงสุข  อธิการบดีผู้ก่อตั้ง  มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก  จำนวน  500,000  บาท  ไปคืนให้กับผู้เสียหายทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเป็นผู้สียหายแล้วทำไมอยากเป็นอธิการบดีเสียเอง จะเป็นอธิการบดีแทนอาจารย์สวัสดิ์  และจะมีคู่หูอ้วนเอ๋อเป็นนายทะเบียนใหญ่แทนนายศุภณัฐ และจะเป็นผู้เฝ้าระวังของมหาวิทยาลัย  ( ระวังภัยจากความคิดของตัวเองว่าจะอยู่กับบัณฑิตหรืออยู่กับโจรดี )
โดยสรุป...นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ก็ติดกับดักในหลุมพรางของตนเองเข้าอย่างไม่มีวันดิ้นหลุดเข้าให้แล้ว  บทบาทที่ชอบเสาะหาและกล่าวหาเหยื่อ โดยหาช่องว่างอ้างข้อหาแบบทนายในวงเหล้า  แต่พอเอาเข้าจริง ๆ  เป็นนักกฎหมายเทียม.... ทุกอย่างที่อ้างว่าทำความดี  สุดท้ายก็เพียงเพื่ออำพรางความผิดที่ตนสะสมไว้เท่านั้นเอง  ความในทางคดีอาญานั้นการกระทำโดยเจตนา  ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่จะต้องรับโทษในทางอาญา  คือการรู้สำนึกของการกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำย่อมประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  พฤติกรรมโดยเนื้อหาที่นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่กองปราบนั้น  เป็นเรื่องที่ผิดไปจากความจริงเป็นการกล่าวหาเพียงเพื่อทำให้มหาวิทยาลัยและผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 6 คน ให้ได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นความจริง  ( ก็เท่ากับเป็นเท็จ )  และ นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ก็มิได้เป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในเรื่องนี้ ( เป็นเพียงผู้ผิดหวังจากการกรรโชคทรัพย์ของอาจารย์สวัสดิ์  แล้วโดนจับได้ไล่ทันจึงโกรธแล้วรีบเฉไฉไปในแนวทางอื่นเพื่อให้คนหลงเชื่อ )  แต่ความจริงปรากฏว่าพวกที่หลงเชื่อก็เป็นพวกประเภทเดียวกัน  คือวันทั้งวันไม่ต้องทำอะไรกิน  อาชีพก็ไม่มีชัดเจนแต่ที่ชัดเจนคือ  คอยเฝ้าจ้องหาเหยื่อ คอยทำลายเหยื่ออยู่ตามหน้าจอคอมพิวเตอร์ดังที่ได้เห็นกันอยู่ไม่เว้นวันไม่มีสิ่งใหม่ไม่มีเนื้อหาความรู้ในเนื้อหาบทสนทนาและการโฆษณาชวนเชื่อก็คือ  จับแม่ชี  จับพระ...ทั้ง ๆ ที่ท่านเหล่านั้นเสียชีวิตไปแล้ว  ก็ยังนำเรื่องราวมาโฆษณาหลอกหากินไปวัน ๆ  ในสังคมของผู้ที่เจริญแล้ว  ใครเขาจะยอมรับในพฤติกรรมของคนประเภทนี้  นี่คือเหตุผลว่า  ทำไมนักข่าวอาชีพ  เขาจึงไม่ให้ความร่วมมือ นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  แล้วยังไปตีโพยตีพายต่อว่าเขาอีก  ก็ในมือคนทั่วไปยังไม่รู้จักเลยว่า  ตัว นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  คือใครแล้วมีวิธีคิดที่กล้าเปิดเผยว่าถ้าพ่อทำผิด  ผมก็จะจับพ่อ  แสดงว่า นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ยังไม่รู้จริง ๆ เลยว่าพ่อเป็นใครแค่นี้แล้วจะอ้างอะไรบอกว่าที่กระทำเพื่อสังคม  กระทำเพื่อประเทศชาติทุกอย่างเป็นพฤติกรรมอำพราง
คนที่มีวุฒิภาวะเพียงพอใครเขาจะเอา เข็มนั่น ใบประกาศนี่นิด ๆ หน่อย ๆ มาอวดโชว์  และโต๊ะนั่งทำงาน  มาอวดลงใน  Facebook  แบบนี้  คนดี ๆ  ของสังคมคนที่เขามีวุฒิภาวะเขาก็มองออกซิว่าหมอนี่คงจะมีปมด้อยในชีวิตต้องการเรียกร้องให้ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างรุนแรง  ดังนั้น นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  น่าจะลองไปพบแพทย์  เพื่อตรวจสอบสภาพจิตดูว่า  จะต้องไปพักรักษาตัว  หรือต้องกินยา  หรือเข้ารับการฟื้นฟูสภาพจิตใจอย่างไรนั้นก็ว่ากันไป
ว่าแต่ว่าที่แน่ ๆ คือ  5  คดีใน  9  จังหวัดที่ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยฯ จะไปร้องทุกข์ในกรณีที่ถูกกล่าวหาด้วยข้อความอันเป็นเท็จ  และเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาต่อบุคคลซึ่งเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัย  ทั้ง  6  ท่านนั้นต้องดำเนินคดีแน่นอน  และเป็นความผิดที่สำเร็จซึ่งมีหลักฐานอย่างชัดเจน
คราวนี้เพียงแค่การไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานในแต่ละจังหวัด  ก็จะเจอหมายจับอย่างแน่นอน (ของจริง)  มีคนพยายามขอร้องต่อผู้ใหญ่ทั้ง  6  ท่าน  ว่าอย่าดำเนินคดีเลย  แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่ยอมโดยเด็ดขาดเพราะเขาถือว่า  นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด  ได้มีเจตนากระทำเช่นนั้นจริง  แต่ท่านเหล่านั้นก็เปิดทางให้ทางเดียวที่จะไม่ดำเนินคดีคือ  ต้องมีใบรับรองแพทย์แสดงต่อศาลว่า  เป็นบุคคลผู้วิกลจริต ( บ้า ) เท่านั้น  จึงจะไม่ติดใจเอาความ  และผู้ใหญ่ทั้ง  6  ท่าน  ได้สรุปพร้อมกันแล้วว่า  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง  ( บ้า )  ก็จะถอนฟ้องทุกคดี  เพราะ  ถ้าใครดำเนินคดีกับคนบ้า  คนนั้นก็น่าจะเป็นหนักกว่าผู้ถูกดำเนินคดี
ว่าแต่ว่า........ จะบ้าจริง  หรือบ้าเทียม  แบบโจรอำพรางเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ หรือมิจฉาชีพทำตัวเป็นนักข่าว  ดังนั้นเหตุที่นักข่าวแท้ไม่ร่วมสังฆกรรมในวันแถลงข่าวที่ นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด คาดหวังเพราะนักข่าวอาชีพเขารู้ความจริง การถูกดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระใน 5 คดี 9 จังหวัด จากผู้ถูกกล่าวหาด้วยข้อความอันเป็นเท็จโดย นายเสฃสัณฑ์  ปะเสิด   ผอ.เบาะทรุด ก็ถึงจุดจบแห่งความเป็น...ตำรวจปลอม นักข่าวเทียม...แต่ชั่วแท้...ปิดถนนสื่อเท็จ นักข่าวเทียมด้วยการละฉะนี้

ดาบสองคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น