วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จับตาพฤติกรรม เสฃสัณฑ์ ปะเสิด ผอ.เบาะทรุด


จับตาพฤติกรรม เสฃสัณฑ์  ปะเสิด ผอ.เบาะทรุด
จับพิรุธ แก๊งกรรโชกทรัพย์ คณะเบาะสลาย
มลภาวะทางสื่ออินเตอร์เน็ต รูปแบบใหม่

            สังคมไทยถ้าหากว่ามีใครคิดทำอะไรแปลกใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ก็มักจะมีคนอีกประเภทที่คิดไม่ถึงและคิดไม่เหมือนในสิ่งที่ตนคิด สิ่งนั้นคือสิ่งผิดแล้วกล่าวอ้างว่าสังคมรับไม่ได้

            ในสังคมที่หลากหลาย สังคมที่คนไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศโดยไร้อาณาเขตแห่งสัมพันธภาพ ผู้ที่มีโอกาสเดินทางศึกษาและประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศย่อมเห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของประเทศต่าง ๆ ในแต่ละด้าน ประเทศที่กำลังมีสงครามก็คงไม่มีใครต้องถามหาเรื่องการศึกษาของประชาชน เพราะทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ประเทศที่ไร้สงครามและมีความสงบ มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนได้อย่างกว้างขวางทั้งทางใกล้และทางไกลพร้อมด้วยการที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้ประชาชนของเขาและชาติอื่น ๆ ได้รับอานิสงค์ไปโดยทางอ้อมเช่นเดียวกัน

            เมืองไทยในวันนี้มีคนจำนวนมากที่กระตือรือร้นในด้านการศึกษาเพื่อความเจริญก้าวหน้าของชีวิต...คนไทยที่มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจจึงพยายามส่งเสริมบุตรหลานให้ได้มีการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อว่าบุตรหลานจะได้เป็นบัณฑิตเหมือนกับชาวบ้านเขาบ้าง และบัณฑิตทั้งหลายที่ได้ร่ำเรียนมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยก็จะได้รับ “ปริญญา” เป็นปริญญาจากการศึกษาที่แท้จริง การได้รับปริญญาจากการศึกษาที่แท้จริงจึงถูกเรียกว่า “ปริญญา”

            แต่ในอีกกรณีหนึ่งซึ่งสังคมไทยยังไม่คุ้ยเคยนัก ก็คือ “ปริญญากิตติมศักดิ์” (Honorary Degree) เป็นปริญญาที่มอบให้แก่ผู้ที่มีผลงานในชีวิตที่ผ่านมา ผู้ที่ได้สร้างคุณความดีต่อสังคมและประเทศชาติ ผู้ที่มีผลงานทั้งด้านธุรกิจและชีวิตเพื่อสังคมและอีกหลาย ๆ เหตุผลในการประกอบการพิจารณา แต่ทว่ามหาวิทยาลัยโดยทั่วไปถึงแม้จะให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่ใครสักคนจึงไม่ง่ายนัก มิใช่เพราะผู้รับไม่ดีพอแต่เพราะผู้รับไม่มีเงินพอที่จะบริจาคหรือช่วยเหลือมหาวิทยาลัยในจำนวนหลาย ๆ ล้านบาทผู้ที่รับปริญญากิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยทั่วไปจึงน้อยคนนักที่จะไม่จ่ายเงินในจำนวนนับสิบล้านบาท คนในชาติจะได้ ด็อกเตอร์กิตติมศักดิ์สัก 1 ใบ ต้องใช้เงินหลาย ๆ ล้านบาท แล้วคนดีมีผลงานและสังคมให้การยอมรับ แต่ทำไมถูกทอดทิ้งหรือถูกมองข้ามเสียละ...?

            เมื่อมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ได้มีการสถาปนาโดยนักวิชาการที่เป็นคนไทยผู้เป็นต้นคิด ผู้เป็นคนริเริ่มแนวความคิดและทิศทางของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ซึ่งกระบวนการจัดตั้งนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก และมิใช่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่จะต้องนำสิ่งที่ซึ่งเป็นการบริหารจัดการภายใน ของกระบวนการสร้าง “สันติภาพโลก” ในรูปแบบของมหาวิทยาลัย  ให้ใครต่อใครฟัง ดังเช่นมหาวิทยาลัยทั่วไปก็เช่นเดียวกัน สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่จะต้องทำการประชาสัมพันธ์ สิ่งใดที่จะต้องรักษาไว้เป็นความลับภายใน ก็ย่อมถือเป็นมาตรฐาน การบริหารของแต่ละสถาบัน

            มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก กับกระบวนการสร้างและพัฒนาบนพื้นฐานของแนวความคิดที่แปลกใหม่ และโดนใจคนในสังคม ที่เห็นด้วยกับแนวทางในการสร้างความภาคภูมิใจ สร้างความมั่นใจ สร้างคุณค่าให้แก่ “ผู้รับปริญญากิตติมศักดิ์ทุกคน” เพราะเป็นเจตนาที่ดี และแน่นอนว่า กระบวนการดำเนินงานมิได้หยุดอยู่กับที่มิได้ท้าทาย หรือ ทำลายระบบกฎหมายของประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินงานสร้างซึ่งแปลกใหม่ ที่มีคนไม่เข้าใจมหาวิทยาลัย ก็ต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นแก่สังคม ถึงแม้ไม่เร็ว ก็ช้า แต่ดีกว่าไม่มีการ ขยับเขยื้อน เคลื่อนไหว อะไรเลย
ความเคลื่อนไหวของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก นับแต่ที่ทางมหาวิทยาลัย ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ แก่บุคคลสำคัญต่างๆ ที่หลากหลาย ถือว่าเป็นสิทธิที่มหาวิทยาลัยกระทำได้ และถือว่าเป็นความดีที่มอบให้แก่สังคม เป็นแนวความคิดที่ได้ถูกนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุจูงใจในการเริ่มสร้างสันติภาพ ตามกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องดำเนินต่อไปอย่างมีวิวัฒนาการ  การพัฒนาของแนวความคิดนี้ จึงเกิดแนวร่วมจาก ผู้ที่ได้รับดุษฎีบัณฑิต อย่างกว้างขวาง เช่น เกิดเป็น มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก แห่งปากีสถาน เกิดเป็น สาขาที่โตเกียว  เกิดเป็นสาขาที่กัวลาลัมเปอร์  เกิดเป็นสาขาที่ดูไบ  เกิดเป็นสาขาที่เท็กซัส  และจะเกิดเป็นสาขาที่แอฟริกาใต้ และจะเกิดแนวร่วมดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขาสันติภาพโลก ขึ้นอีกในหลายๆ แห่งของโลก และโดยเฉพาะในประเทศไทยนั้น มหาวิทยาลัยยังมีความมุ่งมั่นก่อให้เกิดเป็นองค์กรแห่งสันติภาพภายใน หลากหลายสาขา แนวทางของมหาวิทยาลัย เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น

            การที่มหาวิทยาลัยถูกโจมตีให้ร้าย เกิดจากบุคคลเพียงคนเดียว ที่พยายามเข้ามาเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย โดยบังเอิญว่าผู้ที่แนะนำเข้ามาขาดข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล โดยการสำคัญผิด ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด เกี่ยวกับพฤติกรรมและอาชีพของผู้รับปริญญา “กิตติมศักดิ์”  คิดว่าเป็นสื่อมวลชนจริงๆ ดังเช่น สื่อมวลชนอาชีพคนอื่นๆ แต่ผู้ที่รับปริญญา กิตติมศักดิ์ กลายเป็นมิจฉาชีพที่ พยายามสร้างภาพดูคล้ายผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล และมีสื่ออยู่ในมือ คนดีๆ ผู้ที่พยายามสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส จึงให้โอกาสและมอบปริญญาบัตรให้แก่นาย แสบสันต์ ประสาทเสื่อม ผอ.เบาะเสีย ต่อมาภายหลังทางคณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยทราบว่า นาย แสบสันต์  ประสาทเสื่อม มิได้ เข้ามาในมหาวิทยาลัยแบบบุคคลที่ได้รับปริญญาโดยทั่วไป แต่มีพฤติกรรมที่เป็นมิจฉาชีพ และมิใช่เป็นคนดีตามการวิเคราะห์เบื้องต้น ทางอธิการบดีผู้ก่อตั้งจึงทำการแจ้งยกเลิกปริญญากิตติมศักดิ์ จากนายแสบสันต์  ประสาทเสื่อม ถ้าจะสังเกตในพฤติกรรมต่าง ๆ ย้อนหลังเกี่ยวกับนายแสบสันต์  ประสาทเสื่อม เกี่ยวกับการพยายามอ้างตนเป็นคนวงการนักข่าวที่คิดว่าชาวบ้านหรือใคร ๆ ต้องกลังเกรง

            ดูพฤติกรรมย้อนหลังไปในอดีตของสื่อเทียมกระดาษเปื้อนหมึกและคนชนิดนี้มักจะแอบอ้างอวดโอ๋เป็นผู้มีอำนาจ อำชาวบ้านแถบต่างจังหวัด (ไม่กล้าในเมืองใหญ่) และนำชื่อผู้ใหญ่มาแอบอ้างบางคนก็ยืนยันว่าไม่เคยมีหนังสือยินดีรับเป็นที่ปรึกษาแต่ประการใด มีผู้มีชื่อเสียงบางท่านพอรู้ว่า นายแสบสันต์  ประสาทเสื่อม มีพฤติกรรมไม่ดีเขาจึงยืนยันว่าเขาไม่เคยเป็นที่ปรึกษาเช่นคุณยอดชาย เมฆสุวรรณ สำหรับ พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ นั้น ท่านก็ไม่ยืนยันว่ามีเอกสารเป็นที่ปรึกษาหรือไม่ว่าแต่ว่าตอนนี้ แสบสันต์ ประสาท พยายามนำชื่อของท่าน พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ มาเป็นเครื่องมือโจมตีมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งนายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม ขาดความเข้าใจไปว่าสาเหตุแห่งการคืนปริญญาบัตรต่อมหาวิทยาลัยนั้นเป็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างท่านกับอธิการบดีผู้ก่อตั้ง
            อย่าลืมว่า ท่านพลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ คืนปริญญา (และต่อมาอธิการบดีผู้ก่อตั้งคู่กรณีได้ออกจดหมายยกเลิกปริญญา) เป็นเรื่องของบุคคลเพียง 2 คน)

            แต่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เป็นเรื่องของคนจำนวนมากและมีนายทหาร นายตำรวจ ระดับสูงและผู้ทรงคุณวุฒิทางสังคมจำนวนมาก ยังคงยินดีกับปริญญาบัตรที่ได้รับจวบจนถึงวันนี้ นายแสบสันต์ ประสาท ได้มีเป้าหมายที่จะทำลายมหาวิทยาลัยในทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพให้เห็นถึงกมลสันดาลของมิจฉาชีพที่แท้จริง ความทนงค์หลงตัวพยายามสร้างความกลัวให้แก่ผู้ที่ไม่ยอมสยบจึงเป็นสติปัญญาที่ตื้นเขินที่กำลังล้าหลัง ก้าวไม่ทันความเจริญก้าวหน้าทั้งการศึกษาแห่งโลกยุคใหม่และการยกระดับจิตใจให้บริสุทธิ์และสูงส่ง

            ความมั่นคงในความถูกต้องที่แท้จริงจึงมักจะถูกปิดเบือนจากนายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม ความชำนาญในการบิดเบือนข้อเท็จจริง การลงข้อความโจมตีจึงมีให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าไร้ปัญญาที่จะเดินหน้าสู่ความเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิต จิตใจมีแค่เพียงคำกล่าวหา “ปริญญาเถื่อน” “มหาวิทยาลัยเถื่อน” “ฉ้อโกงประชาชน” “ผิดกฎหมายมาตรานั้นมาตรานี้” ฯลฯ และมักจะตามไปด้วยผลงานจับพระ , จับแม่ชี แม้ทุกวันนี้ก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางที่ไปยุแหย่พระและภิกษุณี และโทรหาดารา นักร้องบางคนแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ

            คำกล่าวหาต่าง ๆ นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อมไม่มีอะไรใหม่ไปกว่านี้และเขาลืมไปว่าคำกล่าวหาต่าง ๆ จากสิ่งใหม่ที่ นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม ขาดสติปัญญาพอที่จะรับรู้หรือตามทัน มันจึงเป็นคำกล่าวที่วกวน เลื่อนลอย ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญมากมายนัก ยกเว้น สมาชิกหรือแนวร่วมที่อยู่ในกลุ่มก๊วนและแก๊งเดียวกัน นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม จึงเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่เริ่มต้นกุข่าวสร้างเรื่อง และมีสมาชิกของแก๊งคอยรับลูก ส่งต่อกันไปเพราะความเป็นมิจฉาชีพที่ทำจนเคยชิน
            แต่สำหรับมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม “เคี้ยวไม่ออก” “ล้มไม่ลง” “ล้วงไม่ถึง” “ตามไม่ทัน” ไม่ว่า นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม จะกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยเป็นประการใด ก็มิได้มีผลให้มหาวิทยาลัยต้องสะดุดหยุดลง มีแต่จะได้รับการสนับสนุนจากบุคคลหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพราะแนวคิดเรื่องการศึกษาจึงเป็นแนวคิดของความก้าวหน้า

            แต่แนวคิดชั่ว อยากทำมาหากินกับแนวทางการศึกษาในทางชั่วที่ นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม ได้ลงมือทำแล้วไม่สำเร็จแล้วพยายามอธิบายเฉไฉแบบไร้กระบวนท่า จึงเป็นสิ่งที่สังคมควรประนามและจะต้องกำจัดบุคคลที่เป็นเชื้อโรคของสังคมเช่นนี้ให้จบสิ้นไป ประเด็นใดที่ถูกกล่าวหาที่ไร้หลักฐานจากพื้นฐานของความชั่ว ก็ควรจะเป็นประเด็นขึ้นสู่ศาลตามขั้นตอนอีกยาวนาน แต่ยังไม่มีประเด็นใดเลย แต่ผู้ชี้คือศาลคำว่าอาจจะเข้าข่ายเป็นเพียงอาจจะ แม้กระทั่งการแจ้งความร้องทุกข์ก็เช่นเดียวกันสุดท้ายคือศาล ร้องทุกข์แล้วตำรวจยังไม่ทันสอบสวนเลย นายแสบสันต์ ก็รีบนำใบบันทึกประจำวันมาลง Facebook เพื่อหมายจะประจานให้ผู้ถูกแจ้งความเสียหาย และนั่นคือจุดจบขาย นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม เพราะกลายเป็นเรื่องเดียวแต่มีความผิดอย่างน้อย 5 กระทางความผิด เรื่องแรกที่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยด้วยแรงกายแรงใจและทุนทรัพย์ เพื่อเป้าหมาย และอุดมการณ์แห่งสันติภาพโดยแท้จริง ประเด็นข้อกล่าวหามหาวิทยาลัยฯ ก็ให้เป็นประเด็นที่เป็นคดีสู่ศาลแล้วให้ศาลตัดสิน “คำว่าอาจจะเข้าข่ายฉ้อโกงก็แปลว่ายังไม่เข้าข่ายแต่นายแสบสันต์ พยายามทำให้เข้าข่าย” การหมิ่นประมาทผู้อื่น...ด้วยการโฆษณา “นั่นคือเรื่อง” เร่งด่วนที่ผู้บริหารทุกคนไม่ยอมโดยเด็ดขาด

            คดีเปิดเผยความลับของการราชการ....ชัด ๆ คือการที่นำเอกสารการแจ้งความมาลง Facebook โดยที่ยังไม่ทันข้ามวัน (เพราะคงตื่นเต้นกับความชั่วที่ยังคงเห็นกงจักรเป็นดอกบัว) ซึ่งไม่มีคนมีความรู้ มีจิตใจสูง คนไหนเขากระทำกันเช่นนั้น นายแสบสันต์ ประสาทเสื่อม จึงไม่มีความสำคัญพอที่จะให้ใครต่อใครในสังคมเชื่อถือได้อย่างบริสุทธิ์ใจเพราะไม่มีใครในประเทศนี้ที่จะมีพฤติกรรมต่อต้านหรือทำลายเป้าหมายเพื่อส่วนรวมของกลุ่มนักวิชาการที่มีวุฒิภาวะทั้งการศึกษาและสภาพจิตใจที่สูงพอที่จะขับเคลื่อนให้สถาบันด้านสันติภาพ “เพื่อมนุษยชาติ” จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียใจและเสียดายที่คนเรียกตนว่าเป็นคนไทยแต่ไร้ความคิดไร้ความสำนึกดี ไร้วิธีแห่งการมองโลกให้กว้างไกล ไร้จริยธรรม ไร้คุณธรรม ไร้มารยาท ไร้องค์กรที่สังคมควรจะให้การยอมรับ ไร้อาชีพที่บริสุทธิ์ ไร้ปัญญาที่จะปรับวิถีชีวิตใหม่คงจะต้องให้ นายแสบสันต์ เปิดพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ดูคำว่า “สันติภาพ” “มหาวิทยาลัย” “ปริญญากิตติมศักดิ์” “ฉลาด” “โง่” “คลุ้มคลั่ง”

                                                                                    ดุษฎีสีขาว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น